การตรวจวัดสายตาประกอบแว่นอัลตร้าโปรเกรสซีฟระดับท็อปเอนด์ ด้วยระบบดิจิตอล 3 มิติ ของศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก

ISOPTIK ตรวจสายตาระบบ 3 มิติ
วัดสายตาด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ 3 มิติ

ศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก ประสบความสำเร็จในการคิดค้น และพัฒนา ระบบการวิเคราะห์สายตาประกอบแว่นโปรเกรสซีฟระดับท็อปเอนด์เทคโนโลยีใหม่ ด้วยระบบดิจิตอล 3 มิติ ที่สามารถวิเคราะห์ระบบการมองเห็นในการทำงานร่วมกันของตา 2 ข้าง และวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้สายตาพร้อมคำนวณค่าของการมองเห็นแบบ 360 องศา ได้ภายในเวลาเพียง 40 นาที ได้ข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วน สำหรับออกแบบ ผลิต และประกอบแว่นตาโปรเกรสซีฟระดับท็อปเอนท์เทคโนโลยีใหม่ที่ให้ภาพคมชัดทุกระยะ อย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด ช่วยให้สมองส่วนที่ควบคุมการมองเห็น ไม่ต้องพยายามฝืนเพ่งทำงานหนักเหมือนเมื่อก่อน สมองจึงมีประสิทธิ์ภาพในการทำงานด้านอื่นมากขึ้น ทำให้รู้สึกมีพลังเพิ่มขึ้นทันที เหมือนได้กลับเป็นหนุ่มสาวอีกครั้ง และยังช่วยถนอมสายตาได้ดีกว่า

การวัดสายตาระบบ 3 มิติ

โดย ดร.ปฐมา เชิดชูเกียรติสกุล
ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจวิเคราะห์ระบบการมองเห็นสามมิติ ( Doctor of Optometry ) ประจำศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก

ในการวัดสายตา

  1. จะต้องเริ่มต้นจากการวัด Visual Acuity หรือที่นิยมเรียกว่า V.A. ซึ่ง V.A. นี้ หมายถึง ความสามารถในการมองเห็น ซึ่งวิธีการวัด V.A. เราจะทำการวัดตาทีละข้าง เริ่มจากวัด V.A. ตาขวาโดยปิดตาซ้าย วัด V.A. ตาซ้ายโดยปิดตาขวา และวัด V.A. ของตาทั้ง 2 ข้างโดยเปิดตา ทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน โดยที่เวลาวัด V.A เราสามารถวัดได้ทั้ง V.A. ตาเปล่าซึ่ง หมายถึง วัด V.A. โดยไม่ได้ใส่แว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์ เป็นการวัดความสามารถในการมองเห็นตามธรรมชาติของตาโดยยังไม่ได้แก้ไขอะไรเลยหรือวัด V.A. แว่นเดิมในกรณีที่ผู้ถูกวัดเคยใช้แว่นสายตาอยู่แล้ว และวัดความสามารถในการมองเห็นของแว่นที่ใช้อยู่ ประโยชน์จากการวัด V.A. ตาเปล่าหรือ V.A. แว่นเดิมเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบความสามารถในการมองเห็นก่อนที่จะทำการวัดสายตา และความสามารถในการมองเห็นหลังวัดสายตา และได้ค่าสายตาใหม่ และเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ค่าสายตาใหม่ที่เหมาะสม

    ISOPTIK ตรวจสายตาระบบ 3 มิติISOPTIK ตรวจสายตาระบบ 3 มิติ

  2. หลังจากวัด V.A. แล้ว ต่อจากนั้น คือ การวัดความโค้งของกระจกตาหรือการหาค่า K การหาค่า K จะทำให้เราสามารถประเมินค่าสายตาเอียง และองศาได้

    ISOPTIK ตรวจสายตาระบบ 3 มิติISOPTIK ตรวจสายตาระบบ 3 มิติ

  3. เริ่มต้นการหาค่าสายตาโดยวิธี Objective คือ การที่เราหาค่าสายตาเบื้องต้นโดยที่ผู้ถูกวัดไม่ต้องตอบอะไรทั้งสิ้น ผู้วัดจะเป็นผู้หาค่าสายตานั้นออกมาเอง โดยวิธีที่ใช้สามารถใช้ได้ทั้งวิธีการ Retinoscopy หรือการใช้ Autorefraction โดยทำการวัดตาทีละข้าง เมื่อได้ค่าสายตาออกมา จึงดำเนินการขั้นต่อไป

    ISOPTIK ตรวจสายตาระบบ 3 มิติISOPTIK ตรวจสายตาระบบ 3 มิติ

  4. การวัดหาค่าสายตาแบบ Subjective จะเป็นการหาค่าสายตาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ถูกวัดแต่ละคนโดยที่ผู้ถูกวัดจะต้องร่วมในการวัดโดยตอบคำถามซึ่งจะแบ่งเป็นขั้นตอนย่อย ๆ ต่อไปนี้

    • หาค่าสายตาที่เหมาะสมของตาแต่ละข้างโดยเริ่มจากตรวจวัดตาขวาก่อน และปิดตาซ้ายไว้ ขั้นแรกจะหาค่า sphere ที่ดีที่สุด ก่อนหาค่าสายตาเอียงโดยวิธี Red-green Test หรือวิธี Step down เมื่อได้ค่า sphere ที่ดีที่สุดเบื้องต้นแล้ว เราจะหาค่าสายตาเอียง และองศาของตาเอียงที่เหมาะสมที่สุดโดยวิธี Jackson Cross Cylinder หรือที่เราเรียกว่า JCC ซี่งเมื่อได้ค่าสายตาเอียง และองศาที่เหมาะสมที่สุด แล้วเราจะทำการหาค่า sphere หรือค่าสายสั้นหรือสายตายาวที่ดีที่สุดอีกครั้ง หลังจากที่เราหาค่าสายตาเอียงเรียบร้อยแล้วโดยวิธี Red-Green Test หรือวิธี Step down อีกครั้งเพื่อให้ได้ค่าสายตาที่ทำให้การมองเห็นดีที่สุดในตาแต่ละข้างโดยที่ควบคุมไม่ให้เกิดการให้ค่าสายตามากเกิน เมื่อตรวจตาข้างขวาเรียบร้อยแล้วก็จะทำขั้นตอนต่าง ๆ นี้อีกครั้งกับตาด้านซ้ายโดยสลับปิดตาขวา และเปิดตาซ้าย ซึ่งจะทำให้ได้ค่าสายตา ที่ดีที่สุดสำหรับตาแต่ละข้างแล้วเราจึงดำเนินการวัดสายตาขั้นตอนต่อไป

      ISOPTIK ตรวจสายตาระบบ 3 มิติISOPTIK ตรวจสายตาระบบ 3 มิติ

    • จะเป็นการหาค่าสายตาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการใช้ตา 2 ข้างร่วมกัน ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ เนื่องจากการวัดสายตาทีละข้างโดยปิดตาทีละข้างนั้นอาจทำให้เกิดการ Accommodation ของตาทีละข้างในระดับที่ต่างกันได้ ( แต่เราจำเป็นต้องวัดตาทีละข้างก่อนเพื่อให้รูู้ถึงความสามารถในการเห็นของตาทีละข้าง ) และเมื่อมอง 2 ตาพร้อมกันการควบคุม Accommodation ของ 2 ตาถูกควบคุมในระดับที่เท่ากัน เราจึงหาค่าสายตาที่เหมาะสมที่สุด สำหรับที่จะทำให้การมองเห็นของ 2 ตาดีที่สุดและทั้ง 2 ตาเห็นได้ใกล้เคียงกันมากที่สุดโดยวิธีการจะใช้สไลด์ ที่มีระบบ poralized ร่วม โดยการที่เมื่อมอง 2 ตาพร้อมกันจะเห็นภาพสไลด์เต็มแต่ในความเป็นจริงแล้วภาพสไลด์นี้ครึ่งหนึ่งจะมองเห็นได้ด้วยตาขวา และอีกครึ่งหนึ่งจะเห็นได้ด้วยตาซ้ายเป็นการควบคุมให้ 2 ตามองเห็นพร้อมกัน และสามารถแยกแยะ และเปรียบเทียบการมองเห็นของ 2 ตาได้ เพื่อให้ได้ค่าสายตาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการประกอบเป็นแว่นสายตา
  5. การวัดประสิทธิ์ภาพการทำงานร่วมกันของ 2 ตา เมื่อได้ค่าสายตาแล้วเรายังต้องตรวจเพิ่มเติมถึงประสิทธิ์ภาพการมองเห็นร่วมกันของ 2 ตา เช่น ความสามารถในการเห็นภาพ 3 มิติโดยใช้สไลด์ที่เมื่อมองผ่านเลนส์ จะเห็นเป็นภาพ 3 มิติ ภาพจะมีระดับความลึกของภาพต่างกัน เพื่อทดสอบดูว่า ผู้ถูกตรวจสามารถแยกแยะระดับความลึกของภาพได้ดีมากน้อยแค่ไหนอันดับต่อมาที่ต้องตรวจคือตาทั้ง 2 ข้างสามารถวางตำแหน่งของภาพของตาทั้ง 2 ตา ณ. ตำแหน่งเดียวกันพอดีหรือไม่ ( เป็นการตรวจ Associated Phoria ) วิธีการตรวจจะทำโดยภาพสไลด์เต็มนั้นบางส่วนจะมองเห็นได้ด้วยตาขวา และบางส่วนจะมองเห็นได้ด้วยตาซ้าย เมื่อผู้ถูกตรวจมองภาพสไลด์ทั้ง 2 ตา จะให้ดูตำแหน่งของภาพทั้ง 2 ส่วนว่าความสัมพันธ์ของภาพทั้ง 2 ส่วน เป็นอย่างไร อยู่ในจุดที่เชื่อมต่อกันพอดีหรือตำแหน่งของภาพวางเยื้องกันอยู่ และเยื้องกันอยู่ในแนวใดเพื่อหาค่าปริซึมที่จะเลื่อนภาพให้มาวางในตำแหน่งที่เชื่อมต่อกันได้พอดีค่าที่ได้จะใช้ในกรณีที่ผู้ถูกตรวจนอกจากจะมีปัญหาสายตาซึ่งแก้ไขด้วยเลนส์สายตาทั่วไปแล้วแต่ยังคงมีอาการเห็นชัดไม่เต็มที่ ( เนื่องจากภาพดูเหมือนซ้อนกันไม่สนิท ) หรือมีอาการปวดตาอยู่ ( เนื่องจากตาต้องทำงานมากกว่าปกติเพื่อให้ตา 2 ข้างทำงานร่วมกัน ) เนื่องจากยังมีปัญหาการมองเห็นร่วมกันของ 2 ตา ( Binocular Vision ) ซึ่งต้องแก้ไขด้วยเลนส์เฉพาะนี้ด้วย

    ISOPTIK ตรวจสายตาระบบ 3 มิติISOPTIK ตรวจสายตาระบบ 3 มิติISOPTIK ตรวจสายตาระบบ 3 มิติ

  6. เมื่อวัดความสามารถการมองเห็นในระยะไกลไปแล้ว อันดับต่อไปจะเป็นการวัดการมองเห็นในระยะใกล้ โดยปกติจะวัดที่ระยะ 40 ซม. เพื่อดูว่าระบบการ Accommodation ของผู้ถูกวัดว่าระบบการปรับโฟกัสอัตโนมัตินี้ จะสามารถปรับโฟกัสได้พอดีหรือไม่เมื่อต้องการอ่านหนังสือหรือดูงานที่ระยะ 40 ซม. นี้โดยใช้ near cross grid ซึ่งหลักการทำงานของมัน คือ ใช้เลนส์แตกภาพของเส้นตั้ง และเส้นนอนออกจากกัน ให้อันหนึ่งตกก่อน และอีกอันหนึ่งตกหลังจอประสาทตา ถ้าตาเราโฟกัสภาพตกบนจอประสาทตาพอดีจะทำให้เส้นตั้ง และเส้นนอนชัดเท่ากัน ถ้าเส้นตั้ง และเส้นนอนชัดไม่เท่ากันก็จะมีการปรับเลนส์ เพื่อให้เส้นทั้ง 2 ชัดเท่ากัน ทำให้เราได้ค่าเลนส์ที่จะช่วยให้ภาพในระยะใกล้โฟกัสบนจอประสาทตาพอดี นอกจากนี้เรายังใช้วิธีการตรวจหา NRA ( Negative Relative Accommodation ) และ PRA ( Positive Relative Accommodation ) เพื่อหาช่วงความสามารถของการ Accommodation เพื่อตรวจดูว่า ระบบการ Accommodation อยู่ในช่วงที่ปกติหรือไม่ และสามารถช่วยในการหาค่าเลนส์ที่เหมาะสมสำหรับการดูระยะใกล้ด้วย

    ISOPTIK ตรวจสายตาระบบ 3 มิติ

  7. เมื่อได้ค่าจากการวัดทั้งค่าสายตามองระยะไกลทั่วไป และค่าสายตาสำหรับการอ่านหนังสือแล้ว เราจะนำค่าที่ได้มาใส่ในกรอบลองเลนส์เพื่อให้ผู้ถูกตรวจ สามารถลองใส่ในสภาวะจริงใส่เดินทั่วไปเพื่อดูการปรับตัว และการยอมรับกับค่าสายตานั้นมากน้อยแค่ไหน และลองอ่านหนังสือในระยะจริงที่ผู้ถูกตรวจต้องใช้งานในระยะนั้นเป็นประจำเพื่อปรับค่าสายตาครั้งสุดท้ายก่อนได้ค่าสายตาที่จะใช้เป็นค่าที่จะประกอบแว่นจริงในที่สุด

    ISOPTIK ตรวจสายตาระบบ 3 มิติISOPTIK ตรวจสายตาระบบ 3 มิติ

“ ปัญหาที่พบบ่อยกับเลนส์โปรเกรสซีฟ และวิธีแก้ไข เลนส์โปรเกรสซีฟ แม้จะเป็นเลนส์ที่ตอบโจทย์ผู้ที่มีปัญหาสายตายาวตามวัยเป็นอย่างดี แต่ก็มีปัญหาที่พบบ่อยอยู่บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการปรับตัว และการใช้งานที่ไม่เหมาะสม” progressive lens problems

คำยืนยันจากผู้ใช้

คุณหน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์

คุณหน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์

ผู้สร้างภาพยนตร์ บุพเพสันนิวาส ๒ และ ละครพรหมลิขิต ★ ★ ★ ★ ★

แว่นที่ดี สำคัญมากกับการดำเนินชีวิต ดีใจที่เจอแว่นที่ถูกใจ ก็เหมือนกับบุพเพสันนิวาส ทำให้เราทำงานได้อย่างมีความสุขค่ะ

อ่านต่อ
นายแพทย์ วิชิต ศิริทัตธำรง

นายแพทย์ วิชิต ศิริทัตธำรง

หัวหน้าหน่วยจุลศัลยกรรมโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 อินเตอร์ ★ ★ ★ ★ ★

ใช้แว่นตาโปรเกรสซีฟอัจฉริยะไอซอพติกแล้ว ทำให้เหนื่อยน้อยลง มีพลังในการทำงานมากขึ้น และมีความสุขเพิ่มขึ้นในการใช้ชีวิต ครับ

อ่านต่อ

รวมคำยืนยันจากผู้ใช้แว่นตาโปรเกรสซีฟอัจฉริยะ 3 มิติ เฉพาะบุคคล อย่างยิ่งยวด สะท้านโลกา

อ่านต่อ

เลนส์แว่นตาไอซอพติก มีจำหน่ายที่
ศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก เท่านั้น
โปรดระวังการแอบอ้าง

go to top
คุณภาพการมองเห็นมีผลกับ คุณภาพชีวิตอย่างไร ?