โดย แพทย์หญิง อรทัย สุวรรณพิมลกุล จักษุแพทย์
จอประสาทตาผิดปรกติในเด็กคลอดก่อนกำหนด ( Retinopathy of prematurity : ROP ) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปรกติของเส้นเลือดที่จอประสาทตาในเด็กที่คลอดยังไม่ครบกำหนดครรภ์ ภาวะนี้เป็นได้ตั้งแต่แบบไม่รุนแรง และไม่มีผลต่อการมองเห็นจนกระทั่งเป็นรุนแรงมาก และทำให้เกิดตาบอดในเด็กแรกคลอด เนื่องจากปัจจุบันเด็กคลอดก่อนกำหนดมีโอกาสในการรอดชีวิตมากขึ้น ภาวะนี้อาจพบได้บ่อยขึ้นเช่นกัน
สาเหตุ
ในภาวะปรกติเส้นเลือดที่เลี้ยงจอประสาทตาจะเริ่มงอกเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 16 สัปดาห์ ซึ่งเส้นเลือดจะเริ่มงอกจากบริเวณขั้วประสาทตาออกไปเรื่อย ๆ จนสิ้นสุดที่รอบนอกสุดของจอประสาทตา โดยเส้นเลือดเหล่านี้จะงอกไปสุดรอบจอประสาทตาฝั่งใกล้จมูกเมื่ออายุครรภ์ 32 สัปดาห์ ส่วนฝั่งด้านหางตาจะเจริญจนครบสุดจอประสาทตาที่อายุครรภ์ประมาณ 40 สัปดาห์หรือก็คือครบกำหนดครรภ์นั่นเอง
ภาพแสดงจอประสาทตาปรกติ โดยเส้นเลือดจะเจริญเติบโตเริ่มต้นงอกจากขั้วประสาทตาออกไป
ภาพแสดงเส้นการงอกของเส้นเลือดปรกติ ( ซ้าย ) และเส้นเลือดผิดปรกติในภาวะ ROP ( ขวา )
ภาวะจอประสาทตาผิดปรกติในเด็กคลอดก่อนกำหนด ( ROP ) เริ่มต้นจากเส้นเลือดซึ่งอยู่ระหว่างทางในการงอกไปตามจอประสาทตามีการสัมผัสกับออกซิเจนที่มากกว่าปรกติ ซึ่งเส้นเลือดเหล่านี้ยังไม่พัฒนาอย่างสมบูรณ์ ( immature ) เมื่อสัมผัสกับออกซิเจนที่มากทำให้เกิดการหดตัวทั้งที่ยังงอกไปไม่สุดรอบนอกของจอประสาทตา บริเวณที่เส้นเลือดยังงอกไปไม่ถึงจึงเกิดการขาดเลือด และมีการสร้างสารผิดปรกติออกมาเรียกว่า VEGF สารเหล่านี้กระตุ้นให้มีการงอกของเส้นเลือดใหม่ซึ่งเป็นเส้นเลือดที่ผิดปรกติ ก่อให้เกิดปัญหาดึงรั้งจอประสาทตา และทำให้จอประสาทตาหลุดลอกได้ในที่สุด
ROP จะพบได้มากยิ่งขึ้นในอายุครรภ์ที่ยิ่งน้อย โดยการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าในทารกคลอดก่อนกำหนดที่น้ำหนักน้อยกว่า 1250 กรัม มีโอกาสพบ ROP ได้มากกว่า 50 % ดังนั้นอายุครรภ์ และน้ำหนักแรกคลอดถือเป็นปัจจัยหลักสำคัญ ทั่ว ๆ ไปถือว่าเด็กที่น้ำหนักแรกคลอดน้อยกว่า 1500 กรัม หรืออายุครรภ์น้อยกว่า 32 สัปดาห์ มีความเสี่ยงต่อการเกิด ROP
ในเด็กที่ยังไม่ถึงกับตาบอด ภาวะ ROP อาจก่อให้เกิดภาวะสายตาสั้น ตาเข หรือจอประสาทตาลอกในภายหลังได้
ลักษณะของจอประสาทตาผิดปรกติในเด็กคลอดก่อนกำหนด
มีการแบ่งตำแหน่งและความรุนแรงของโรคตามจักษุวิทยาดังนี้
ระยะของโรค
ระยะ 0 : เส้นเลือดยังงอกไม่ครบถึงรอบนอกสุดของจอประสาทตา แต่ตัวเส้นเลือดยังไม่พบลักษณะผิดปรกติ
ระยะ 1 : เห็นเส้นสีขาวบาง ๆ คั่นระหว่างตำแหน่งที่มีเส้นเลือด และบริเวณที่ยังไม่มีเส้นเลือดงอกไปถึง
ระยะ 2 : เส้นคั่นระหว่างตำแหน่งที่มีเส้นเลือด และบริเวณที่ยังไม่มีเส้นเลือดงอกไปถึงมีการหนาตัวนูนขึ้น
ระยะ 3 : เส้นคั่นตำแหน่งที่มีเส้นเลือด และบริเวณที่ยังไม่มีเส้นเลือด เริ่มมีเส้นเลือดผิดปรกติงอกขึ้นมา
ระยะ 4 : เส้นเลือดที่ผิดปรกติดึงรั้งจอประสาทตา ทำให้มีจอประสาทตาลอกบางส่วน
ระยะ 5 : จอประสาทตาหลุดลอกทั้งหมด
ตำแหน่งที่เกิดความผิดปรกติ
จะมีการแบ่งโซนตามการตรวจทางจักษุวิทยา 3 โซน ดังรูป
ภาพแสดงการแบ่งโซนของจอประสาทตาตามตำแหน่งที่มีพยาธิสภาพ โดยถ้าความผิดปรกติอยู่ในโซน I หรือ II ค่อนข้างอันตราย ควรได้รับการรักษาโดยเร็ว
การรักษา
ในกรณีที่พยาธิสภาพอยู่ในระยะที่ 3 โซน 1 หรือ 2 แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาเพื่อหยุดยั้งไม่ให้มีการงอกมากขึ้นของเส้นเลือดผิดปรกติ เนื่องจากเส้นเลือดเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหาดึงรั้งจอประสาทตาให้หลุดลอกได้ โดยการรักษา ได้แก่ การจี้ความเย็นหรือเลเซอร์ที่จอประสาทตา
หากโรคมีความรุนแรงมากขึ้นโดยมีการหลุดลอกของจอประสาทตาบางส่วน คือ ระยะ 4 แพทย์มักพิจารณาทำการผ่าตัด แต่ผลการผ่าตัดอาจได้ผลไม่แน่นอน เนื่องจากตัวโรคมีการพยากรณ์โรคที่ไม่ดีอยู่แล้ว สำหรับกรณีที่โรคดำเนินถึงระยะที่ 5 การรักษาจะไม่ได้ผลไม่ว่าจะผ่าตัดหรือไม่ก็ตาม ก็คือเป็นระยะที่ตาบอดแล้วนั่นเอง
การตรวจตา
- เด็กคลอดก่อนกำหนดที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 1500 กรัมหรืออายุครรภ์น้อยกว่า 32 สัปดาห์ควรได้รับการตรวจจอประสาทตาโดยจักษุแพทย์ทุกราย บางกรณีที่น้ำหนักอยู่ระหว่าง 1500 - 2000 กรัม หรืออายุครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์ แต่มีปัญหาโรคทางกายอย่างอื่น ๆ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ กุมารแพทย์อาจพิจารณาให้ตรวจตาด้วยเพราะมีโอกาสเกิด ROP ได้เช่นกัน
- การตรวจตาจะต้องมีการขยายม่านตาเพื่อตรวจจอประสาทตา
- หากไม่มีภาวะของ ROP แต่เส้นเลือดยังงอกไม่ครบทั่วจอประสาทตา แพทย์จะนัดตรวจตาเป็นระยะ ๆ จนแน่ใจว่าเส้นเลือดงอกเจริญครบตามปรกติ
- หากเป็นระยะแรก ๆ ที่ไม่รุนแรงก็จะมีการตรวจติดตามว่าตัวโรคจะดีขึ้นเองหรือดำเนินไปในทางที่แย่ลง
- ถ้าตัวโรคเป็นระยะที่รุนแรงขึ้น คือ ระยะ 3 โซน 1 - 2 แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาดังกล่าวข้างต้น
- กรณีที่ตัวโรคดำเนินไปถึงระยะที่ 4 - 5 การพยากรณ์โรคมักไม่ดี มีโอกาสที่การมองเห็นจะเรือนลางจนถึงตาบอดได้ ซึ่งถ้าถึงระยะนี้แล้วพ่อแม่อาจต้องเตรียมใจไว้
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
ในเด็กที่เป็นโรค ROP แม้โรคจะไม่ได้ดำเนินถึงระยะ 4 หรือ 5 ก็อาจมีโอกาสเกิดปัญหาอื่น ๆ ในภายหลังได้แม้ได้รับการรักษาแล้วก็ตาม ซึ่งปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
- สายตาสั้นมาก ๆ
- ตาเข
- ตาขี้เกียจจากสายตาผิดปรกติมาก
- ต้อหิน
- จอประสาทตาที่เกิดภายหลัง
ข้อแนะนำ
- เด็กที่หายจากภาวะ ROP ควรได้รับการตรวจตาเป็นระยะ เพื่อระวังปัญหาแทรกซ้อนที่อาจเกิดภายหลังดังกล่าวข้างต้น
- เด็กที่จำเป็นต้องได้รับการเลเซอร์หรือจี้ความเย็น หรือผ่าตัด พ่อแม่ควรเข้าใจว่าการรักษาอาจต้องทำมากกว่า 1 ครั้ง
- ปัญหาแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นควรได้รับการรักษาอย่างเต็มที่