
มนุษย์เรามองด้วยตา แต่เห็นด้วยสมอง และใช้เป็นสื่อหลักในการเรียนรู้ คิดค้น และพัฒนาศักยภาพตนเอง หากคุณภาพการมองเห็นขาดความชัดเจน สมองจะสั่งการให้ระบบการมองเห็นปรับความโค้งของเลนส์ตาและหดรูม่านตาให้แคบลงด้วยการเพ่งเพื่อให้ได้ภาพคมชัดที่สุด แต่การฝืนเพ่งมากกว่าปกติจะมีผลทำให้ประสิทธิ์ภาพการทำงานของสมองลดลง และหากฝืนเพ่งติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ จะเป็นผลให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนักกว่าปกติจนรู้สึกไม่สบายตา เกิดอาการสายตาล้า บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา รู้สึกเหนื่อยล้า
ภาพที่เรามองเห็นนั้น จริงๆแล้วเป็นผลของการรวมแสงผ่านกระจกตา รูม่านตา เลนส์แก้วตา ให้แสงทุกแกน ตกลงพอดีบนเซลล์รับแสงและเซลล์รับสี บนจอประสาทตา แล้วแปลงภาพสองมิติเป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งผ่านเส้นประสาทไปยังสมองส่วนควบคุมการมองเห็นของดวงตาแต่ละข้าง แล้วส่งสัญญาณภาพสองมิติต่อไปยังสมองส่วนหลังเพื่อรวมให้เกิดภาพสามมิติ นี่คือระบบการมองเห็นที่เป็นปกติของมนุษย์ เราจึงสามารถรับรู้ความลึก และกะระยะได้อย่างแม่นยำ ด้วยการมองเห็นภาพแบบสามมิติคนที่มีปัญหาทางสายตา จะมีจุดโฟกัสภาพไม่พอดีกับจอประสาทตา จึงทำให้เห็นภาพไม่ชัด คนหนุ่มสาวที่มีค่าสายตายาวระยะไกลน้อยกว่า +1.00 ไดออปเตอร์

ส่วนใหญ่สามารถฝืนเพ่งเกร็งกล้ามเนื้อตาเพื่อเพิ่มความโค้งของเลนส์ตาให้เห็นภาพในระยะไกลได้ชัดพอสมควรโดยไม่ต้องแก้ไขด้วยเลนส์ แต่หากต้องฝืนเพ่งตลอดทั้งวัน ก็อาจทำให้ปวดบริเวณกระบอกตาได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อต้องใช้สายตาในระยะใกล้ ในคนที่มีค่าสายตาสั้นระยะไกลจะใช้วิธีหรี่ตาเพื่อลดขนาดรูม่านตาให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นในระยะไกล แล้วอ่านหนังสือในระยะใกล้กว่าคนสายตาปกติ แต่หากค่าสายตาสั้นระยะไกลสูงกว่า 4.00 ไดออปเตอร์ ความสบายตาในการใช้สายตาที่ระยะใกล้จะน้อยกว่าคนสายตาปกติ
ปัจจุบัน จำนวนคนที่มีปัญหาสายตาทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่าในอดีตหลายเท่า เพราะมีวิถีชีวิตอยู่กับโลกเทคโนโลยีที่ต้องใช้สายตาอย่างหนัก คุณภาพการพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึก ตื่นสาย นั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน อ่านตัวอักษรสีดำบนกระดาษเคลือบมันสีขาวที่มีแสงสะท้อนรบกวน ทำให้ความสามารถในการเพ่งมองระยะใกล้ลดลงเร็วกว่าวัยอันควร สรรสาระ มีความยินดีที่มาสเตอร์โบบิ หรือคุณสมบูรณ์ นำทิพย์จันทาเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจวัดสายตาประกอบแว่นระดับ เทคโนโลยีล่าสุด ได้กรุณาให้สัมภาษณ์ ตอบคำถามด้านสายตา และแบ่งปันความรู้เรื่องสายตาสำหรับผู้อ่านสรรสาระอีกครั้งหนึ่ง

เราควรเริ่มดูแลสุขภาพสายตากันตั้งแต่อายุเท่าไหร่
อย่างน้อยที่สุด ผมแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ เริ่มต้นดูแลสุขภาพสายตาของลูกน้อยภายใต้การดูแลของจักษุแพทย์ตั้งแต่วัย 1 เดือน โดยตรวจกระจกตา เลนส์ตา รูม่านตา และจอประสาทตา ว่าปกติหรือไม่ , เมื่อครบหกเดือน ให้ตรวจว่ามีภาวะตาขี้เกียจหรือไม่ , ครบหนึ่งปี ให้ตรวจการทำงานร่วมกันของตาทั้งสองข้างของเด็ก , ตรวจคุณภาพการมองเห็นว่าปกติหรือไม่ตอนสองขวบ , สี่ขวบ และหกขวบ แล้วตรวจอีกครั้งตอนเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น หรือเมื่อคุณภาพการมองเห็นของตาแต่ละข้างน้อยกว่า 100% หรือเมื่อเด็กมีอาการหรี่ตาเวลามองไกล หรืออ่านหนังสือใกล้กว่าปกติ หรืออ่านหนังสือในระยะปกติไม่ได้ หรือมีอาการปวดกระบอกตา หรือเห็นภาพซ้อน
ควรเริ่มแก้ไขความผิดปกติของสายตาตั้งแต่อายุเท่าไหร่
ควรแก้ไขทันทีที่ตรวจพบความผิดปกติของสายตา เนื่องจากแก้ไขได้ง่ายและได้ผลดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก หากแก้ไขความผิดปกติของสายตาหลังหกขวบ จะพัฒนาการมองเห็นได้ไม่เต็มที่ ทำให้คุณภาพการมองเห็นด้อยกว่าปกติไปตลอดชีวิต ซึ่งน่าเสียดายมาก ลองคิดดูว่า เด็กเหล่านี้อาจโตขึ้นไปเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ บางคนอาจไปได้ไกลในเวทีผู้นำระดับโลก แต่เมื่อเขามีปัญหาสายตา ไม่สามารถใช้กำลังสมองของตัวเองได้เต็มศักยภาพ ก็จะกลายเป็นความสูญเสียที่หลายคนอาจมองข้ามไป

สายตาสั้นเทียมเกิดจากอะไร มีวิธีแก้ไขได้หรือไม่
เราจะเห็นว่าเด็กสมัยนี้มีปัญหาสายตาสั้นมากกว่าในอดีต เพราะเด็กรุ่นปัจจุบันนอนดึก ตื่นสายกว่าเด็กในยุคก่อน และเติบโตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์ และเกมส์บอย หากใช้สายตาในระยะใกล้ติดต่อกันหลายชั่วโมงเป็นประจำ อาจเกิดภาวะสายตาสั้นเทียมเนื่องจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อส่วนที่ควบคุมความโค้งของเลนส์ตา ทำให้มองภาพระยะไกลได้ไม่ชัดเจน วิธีแก้ไขที่ดีที่สุดคือให้พักการใช้สายตาในระยะใกล้ ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ไปพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติกับครอบครัว ฝึกโยคะ หรือเล่นกีฬากลางแจ้ง เพื่อให้กล้ามเนื้อส่วนที่ควบคุมความโค้งของเลนส์ตากลับสู่ภาวะปกติ การใส่แว่นสายตาสั้นให้เด็กกลุ่มนี้ อาจไปกระตุ้นทำให้สายตาสั้นเทียม กลายเป็นสายตาสั้นถาวรได้ในที่สุด
การดูแลสุขภาพสายตาที่ถูกต้อง ควรเปลี่ยนระยะการมอง ทุกๆ ครึ่ง ถึง หนึ่งชั่วโมง ไม่มองโฟกัสระยะใดระยะหนึ่งในระยะใกล้กว่าหกเมตรนานเกินไป หลีกเลี่ยงการมองภาพที่มีแสงสะท้อนเข้าดวงตา หยุดพักสายตา หรือกระพริบตาบ่อยๆ ขณะนั่งทำงานอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ และเมื่อพบว่าสายตามีความผิดปกติ ควรสวมแว่นตาเพื่อช่วยลดอาการเพ่งจ้องของสายตา

คนที่มีสายตาปกติ จะสามารถมองเห็นภาพได้ชัดเจนในทุกระยะจนถึงอายุเท่าไหร่
เด็กที่มีสายตาปกติ จะสามารถปรับความโค้งของเลนส์ตาเพื่อโฟกัสภาพให้คมชัดตั้งแต่ระยะใกล้สุดไปถึงระยะไกลสุดได้ภายในเสี้ยววินาที ด้วยการเพ่งเพียงเล็กน้อย แต่เลนส์ตาของเราจะเริ่มสูญความยืดหยุ่นตามวัยที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้องเพ่งมากกว่าในวัยเด็กเมื่อโฟกัสภาพในระยะใกล้ จนกระทั่งเมื่อย่างเข้าสู่วัยเกือบสี่สิบ จะเริ่มต้องฝืนเพ่งมากขึ้นจนไม่สามารถใช้สายตาในระยะใกล้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ ได้อย่างสบายตาอีกต่อไป เรียกว่าสายตายาวระยะใกล้ระยะแรกเริ่ม มีอาการมองใกล้ไม่ชัดในบริเวณแสงสว่างน้อย แต่ถ้ายืดระยะการมองให้ห่างกว่าปกติ จะเห็นได้ชัดขึ้น หรือต้องใช้ระยะเวลาในการโฟกัสภาพนานขึ้นในทุกครั้งที่เปลี่ยนระยะการมองจากระยะใกล้สุด ไประยะไกลสุด หรือจากไกลมาใกล้ อาการสายตายาวระยะใกล้นี้ เกิดขึ้นได้กับทุกคน แม้กับคนที่มีปัญหาสายตาสั้นมาก่อน เพียงแต่อาจพบปัญหาช้ากว่าคนสายตาปกติ

ทำไมคนเรา พออายุสี่สิบจึงอ่านหนังสือไม่ชัดเหมือนเมื่อก่อน
เมื่ออายุเลยสี่สิบ ความสามารถในการเพ่งจะเริ่มไม่เพียงพอในการโฟกัสภาพให้ชัดเจนในระยะ 40 เซนติเมตรได้อีกต่อไป เรียกว่าอาการสายตายาวระยะใกล้ ส่วนใหญ่คนวัยสี่สิบ จะมีค่าสายตายาวระยะใกล้ประมาณ + 1.00 ไดออปเตอร์ แต่มักละเลยที่จะให้ความใส่ใจ เพราะคิดว่ายังพอมองเห็นได้อยู่ เพียงแต่ต้องใช้เวลาในการโฟกัสภาพนานขึ้นเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว พฤติกรรมการใช้สายตาเช่นนี้จะนำมาซึ่งผลเสียต่อสายตา และกระบวนการคิดตัดสินใจ ทำให้สมองทำงานช้าลง เพราะการรับรู้จากภาพที่เห็นช้าลง
การใช้เวลาโฟกัสภาพชัดนานขึ้นนิดหน่อย หลายคนมักรู้สึกว่าไม่เป็นไร แต่ถ้าผมบอกว่าสมองของคุณต้องใช้เวลานานขึ้นในการแปลความหมายของภาพที่ฉายมายังจอประสาทตา จนรับรู้ถึงสิ่งที่เห็นได้แล้ว สมองจึงค่อยคิดต่อว่าจะทำอะไรอย่างไรต่อไป เปรียบเทียบกับตามองปุ๊บสมองเห็นปั๊บ แล้วคิดตัดสินใจได้ทันที อย่างนี้คุณรู้สึกไหมว่าสมองของคุณต้องทำงานหนักขึ้น คุณคิดช้าลง และทำงานได้ช้าลง และแน่นอนย่อมมีผลต่อประสิทธิ์ภาพการทำงานของคุณด้วย

สายตายาวแล้วซื้อแว่นสายตาอ่านหนังสือสำหรับคนสายตายาวมาใช้เองได้หรือไม่
การสวมแว่นสายตาเป็นอีกวิธีในการดูแลรักษาสุขภาพตา แต่มีข้อแนะนำว่าต้องเป็นแว่นสายตาที่มีกำลังเลนส์ตรงกับกำลังสายตาของผู้สวมใส่เท่านั้น ไม่อย่างนั้นแล้วการสวมแว่นตาจะไม่ได้ตอบโจทย์ช่วยให้สายตายาวระยะใกล้ไม่เพิ่มขึ้นก่อนวัยอันควร ในทางตรงกันข้าม แว่นสายตาที่มีกำลังเลนส์ไม่ตรงกับกำลังสายตาอาจเป็นตัวเร่งทำให้สายตายาวระยะใกล้เพิ่มเร็วกว่าปกติได้ คนส่วนใหญ่เมื่อสายตายาว มักจะใช้แว่นกำลังเดียว หรือแว่นอ่านหนังสือ มาใส่ในเวลาทำกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องใช้สายตาในระยะใกล้ ซึ่งมีระยะชัดเพียงระยะเดียว แต่จริงๆ แล้วสายตาของคนเราจะปรับหาระยะชัดด้วยตัวเองตลอดเวลา เมื่อใส่แว่นกำลังเดียวอ่านหนังสือ แล้วเผลอมองระยะไกล สายตาจะพยายามปรับหาระยะชัดภายใต้การมองเห็นผ่านเลนส์สายตากำลังเดียว ซึ่งมีระยะชัดจำกัด และไม่ใช่เลนส์สายตาปกติของเราเอง ทำให้สายตามีการทำงานที่ผิดปกติจากระบบการมองเห็นตามปกติ

ยกตัวอย่างเช่น หากมีปัญหาสายตายาว +1.00 ไดออปเตอร์ และใส่แว่นที่มีกำลังเลนส์ + 1.00 ไดออปเตอร์ จะมองเห็นชัดที่สุดในระยะ 40 เซนติเมตร แต่หากเผลอมองไปในระยะ 45 เซนติเมตร การมองเห็นจะไม่ชัดเพราะอยู่นอกเขตโฟกัส สายตาจะพยายามปรับระบบการเพ่งให้สามารถมองเห็นในระยะ 45 เซนติเมตร แต่หลังทำได้สำเร็จระยะโฟกัสจะถูกเลื่อนออกไปเป็น 45 เซนติเมตร ทำให้แว่นที่เคยใส่ชัดในระยะ 40 ซม. เริ่มไม่ชัดอีกต่อไป จึงต้องเพิ่มเบอร์สายตาไปเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้สายตายาวระยะใกล้เพิ่มมากเกินกว่าอายุจริง ดังนั้น หากมีความจำเป็นต้องใช้แว่นกำลังเดียวในการอ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้สายตาในระยะใกล้ ก็ให้ระมัดระวังอย่าเผลอมองภาพในระยะเกินกว่ากำลังโฟกัสของแว่นนั้น
นอกจากนี้ ความแม่นยำในการตรวจวัดค่าสายตาก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน การตรวจวัดค่าสายตาผิดเพี้ยนอาจเกิดได้ทั้งจากตัวผู้วัดที่ขาดประสบการณ์ ความรู้ความชำนาญ และผู้ถูกวัดเองไม่ได้พักผ่อนมาอย่างเพียงพอก่อนมาวัดค่าสายตา หรืออาจกินยาที่มีสารบางอย่างรบกวนระบบการมองเห็นชั่วคราว ทำให้ค่าสายตาที่วัดออกมาผิดเพี้ยนไปจากค่าสายตาปกติ หรือบางครั้งช่างประกอบแว่นขาดประสบการณ์ไม่สามารถปรับแต่งกรอบแว่นขาแว่นให้เข้ากับโครงหน้าของผู้สวมใส่ ทำให้เลนส์แว่นไม่ได้ระดับกับสายตา ซึ่งจะมีผลต่อคุณภาพการมองเห็นเช่นกัน

ศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก ผู้นำเทคโนโลยีโปรเกรสซีฟ
ด้วยปณิธานอันมุ่งมั่นของมาสเตอร์โบบิที่ต้องการ คืนความสามารถการมองเห็นชัดทุกระยะในเสี้ยววินาทีอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดให้คนวัย 40 ถึง 120 ปี กลับมามีพลังของวัยหนุ่มสาว สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพและรู้สึกสบายที่สุดเท่าที่เทคโนโลยีในปัจจุบันจะเป็นไปได้ ศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติกจึงเน้นจำหน่ายแต่แว่นตาโปรเกรสซีฟระดับ เทคโนโลยีล่าสุด เพื่อให้ได้คุณภาพการมองเห็นในระดับสูงสุด ที่ออกแบบผลิตอย่างเฉพาะเจาะจงตามค่าสายตาที่แตกต่างแต่ละข้างของผู้ใช้แต่ละท่าน ตามตำแหน่งการใช้งานจริงบนกรอบแว่นแต่ละอัน ตามพฤติกรรมการใช้สายตาในแต่ละระยะ ด้วยระบบดิจิตอลสามมิติสมบูรณ์แบบ

ขณะที่แว่นสายตาทั่วไป ผลิตแบบกึ่งสำเร็จรูปคราวละมากๆ เพื่อลดต้นทุน แล้วนำมาฝืนใช้กับค่าสายตาที่แตกต่างกันของผู้ใช้จำนวนมาก ทำให้ผู้ใช้ต้องปรับตัวให้คุ้นเคยช่วงขณะสวมใส่ใหม่ๆ แม้จะมีการตัดแว่นที่มีกำลังเลนส์เท่าเดิมและใช้กรอบแว่นเดิมก็ตาม สมองคนเราอาจปรับการมองเห็นให้เข้ากับเลนส์แว่นตาได้ แต่เป็นการปรับแบบฝืนธรรมชาติ ทำให้ประสิทธิ์ภาพการทำงานลดลง ส่วนใหญ่ลูกค้าจะบอกว่าใส่แว่นของไอซอพติกแล้ว กลับไปใส่แว่นทั่วไปไม่ได้อีก

มาสเตอร์โบบิเล่าว่า ลูกค้าหลายท่าน ทำแว่นที่ตัดกับไอซอพติกหายไป เลยต้องนำเอาแว่นเก่ามาใส่ แล้วอยู่ๆ เกิดรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา นึกสงสัยว่าตัวเองอาจเป็นโรคร้ายแรง ไปโรงพยาบาลตรวจร่างกายก็ไม่พบอะไร จนแพทย์ประจำตัว ทักว่าเปลี่ยนแว่นมาหรือเปล่า ลูกค้าคนนั้นจึงนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองเอาแว่นเก่ามาใส่ ก็เลยกลับมาที่ไอซอพติกขอให้สั่งผลิตประกอบแว่นให้ใหม่อย่างเร่งด่วน เพราะเขารู้สึกปวดศีรษะ ทำงานได้ไม่เต็มที่ ทางไอซอพติกจึงเร่งประกอบแว่นให้เสร็จภายในเวลาเก้าวัน จากเดิมต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน เมื่อลูกค้าได้รับแว่นอันใหม่ไปใส่ อาการปวดศีรษะจึงหายไป ทำงานได้อย่างสบายอีกครั้ง ลูกค้าบอกผมว่า นี่ถ้าไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง ผมไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าแว่นสายตาระดับ ของไอซอพติกจะต่างกับแว่นสายตาทั่วไปถึงขนาดนี้