ปรมาจารย์โบบิ คนไทยที่สร้างชื่อได้ในวงการตรวจวัดสายตาประกอบแว่นโปรเกรสซีฟอัจฉริยะเฉพาะบุคคล จากเด็กชายชาวตรังที่เกิด และโตมากับธุรกิจร้านแว่นของพ่อผู้เป็นต้นแบบในชีวิต และเป็นผู้มองเห็นศักยภาพในตัวลูกชายคนนี้ เขาจึงค้นพบตัวเองตั้งแต่อายุ 7 ขวบ พร้อมกับความฝันที่จะเป็นคนทำแว่นสายตาที่ดีที่สุดในโลก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเขาจึงมุ่งมั่นทุ่มเทพัฒนาผลงานมาโดยตลอด ด้วยปรัชญาในการทำงานที่จะต้อง ดีที่สุด และ ยอดเยี่ยมที่สุด ในทุก ๆ วัน จนปัจจุบันนี้เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญการทำแว่นตาโปรเกรสซีฟอัจฉริยะเฉพาะบุคคล ที่มีลูกค้าบินมาจากทั่วโลกเพื่อตัดแว่นตาที่ดีที่สุดกับเขา นอกจากความฝันในวัยเด็ก และการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว แรงศรัทธาในพระเจ้ายังทำให้มีสิ่งยึดเหนี่ยวในจิตใจได้รับพลังซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นพระพรอันสูงสุด ที่ทำให้เขามุ่งทำในสิ่งที่ดีที่สุด และพร้อมส่งต่อพระพรให้เป็นพลังแก่ผู้อื่นด้วย
ในรายการ ไลท์นิ่ง ทอล์ค กับ สายสวรรค์ ขยันยิ่ง
คุณ สายสวรรค์ : สวัสดีค่ะ คุณผู้ชมคะ ขอต้อนรับเข้าสู่รายการ Lightning Talk กับ สายสวรรค์ ขยันยิ่ง ค่ะ วาไรตี้ ทอล์คโชว์ ที่จะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณผู้ชมทุกครอบครัว ทางช่อง 3 แฟมิลี่ หรือว่าช่อง 13 แห่งนี้ และคุณผู้ฟังที่ฟังอยู่ทางวิทยุครอบครัวข่าว ส.ทร. FM 106.0 MHz. ด้วยนะคะ มาเติมพลังสร้างแรงบันดาลใจกันทุก ๆ คืน กับเรื่องราวที่หลากหลาย จากแขกรับเชิญคุณภาพค่ะ แขกรับเชิญของดิฉันในคืนนี้ มาพร้อม
กับความเป็นผู้เชี่ยวชาญ ในธุรกิจเกี่ยวกับแว่นสายตา ซึ่งไม่ธรรมดาค่ะ เขากล้าประกาศว่า เขาจะเป็นคนไทย ที่ตรวจวัดสายตาประกอบแว่นโปรเกรสซีฟอัจฉริยะเฉพาะบุคคล ไฮเอนด์ได้ดีที่สุดในโลก แล้วก็ใช้ระยะเวลาสั่งสมประสบการณ์ พัฒนางานของตัวเอง ศึกษาหาความรู้ ทำสิ่งที่ดีที่สุดด้วยจิตวิญญาณ และด้วยศรัทธา แล้วเขาก็ทำสำเร็จนะคะ จนปัจจุบันนี้มีคนที่มาใช้บริการ หลั่งไหลมาจากหลายประเทศ นี่คือสิ่งที่เป็นความสำเร็จจากงานธุรกิจ แต่วิธีคิด และชีวิต และการเติบโตของผู้ชายคนนี้ ยังไม่ธรรมดาอีกด้วยนะคะ วันนี้เขาจะมาแบ่งปันประสบการณ์ วิธีคิดดี ๆ ให้กับเรา เพื่อเป็นแรงบันดาลใจค่ะ ขอต้อนรับ คุณ สมบูรณ์ นำทิพย์จันทาเจริญ หรือที่รู้จักกันว่า ปรมาจารย์โบบิ นะคะ ผู้เชี่ยวชาญด้านแว่นตาโปรเกรสซีฟอัจฉริยะเฉพาะบุคคล สวัสดีค่ะ ปรมาจารย์โบบิ
ปรมาจารย์โบบิ : ครับ สวัสดีครับ
คุณ สายสวรรค์ : ขอบพระคุณที่สละเวลามาแบ่งปัน เพราะว่า คือ หนิงว่าคนจะเห็น ปรมาจารย์โบบิ ในภาพแบบที่เห็นในคลิปเปิดรายการ เห็นแต่ทำงาน ทำงาน ทำงาน แต่อยากฟังว่า วิธีคิด และแรงบันดาลใจของ ปรมาจารย์โบบิ มาจากไหนถึงได้ทำสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในวันนี้ แล้วก็เป็นเรื่องแว่นตาที่หลายคนอาจจะคิด ไม่ถึงว่ามันมีฝันใหญ่เกี่ยวกับการตรวจวัดสายตาประกอบแว่นได้ด้วยหรือก่อนจะมาถึงตรงนี้ ตอนเด็ก ๆ ปรมาจารย์โบบิ เกิดที่ไหน โตที่ไหนคะ
ปรมาจารย์โบบิ : ผมเกิดที่จังหวัดตรังครับ เกิดแล้วก็เติบโตในร้านแว่นตาระดับไฮเอนด์ของคุณพ่อ คุณพ่อผมชื่อสว่าง นะครับ แล้วก็คุณพ่อก็มีความชำนาญในการทำแว่นสายตาที่ถือว่าดีที่สุดในยุคนั้น แล้วพ่อทำแต่แว่นคุณภาพนะครับ เป็นที่รู้จักกันว่า สว่างการแว่น ของคุณพ่อแพงแต่ดี ดีจนถึงขนาดว่าลูกค้าคุณพ่อ ที่ทำแว่นกับคุณพ่อ แล้วพอย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วไปทำแว่นที่อื่นใส่ไม่ได้ ต้องเดินทางจากเชียงใหม่มาตรังเพื่อ มาทำแว่น
คุณ สายสวรรค์ : เพื่อมาปรึกษาคุณพ่อ โอ้โห ขนาดนั้นเลย แปลว่า ปรมาจารย์โบบิ ก็คือ เติบโตมาในครอบครัว ที่เห็นความเชี่ยวชาญของการตรวจวัดสายตาประกอบแว่นจากคุณพ่อมาอยู่แล้วใช่ไหมคะ
ปรมาจารย์โบบิ : ใช่ครับ
คุณ สายสวรรค์ : ตอนเด็ก ๆ ก็คือ ป้วนเปี้ยน นัวเนีย อยู่ใกล้ ๆ คุณพ่ออย่างงั้น เรียนรู้อย่างงั้น มาเลยหรอคะ
ปรมาจารย์โบบิ : ใช่ครับ
คุณ สายสวรรค์ : คุณพ่อคิดไหมคะ ว่าโตขึ้น ปรมาจารย์โบบิ ยังจะต้องสืบทอดธุรกิจ และความเชี่ยวชาญหรือว่า ปรมาจารย์โบบิ คิดเอง
ปรมาจารย์โบบิ : คุณพ่อท่านฉลาดครับ คือ ท่านไม่ได้ให้ค่าขนมเฉย ๆ คือ ท่านตั้งเป็นค่าจ้าง ว่าถ้าเราอยู่ในร้าน เราเสริฟน้ำลูกค้า เราคุยกับลูกค้า คอยดูแลลูกค้า คอยหยิบแว่น คอยช่วยเช็ดช่วยจับ ช่วยเช็ดกระจก คุณพ่อก็จะมีเป็นเงินให้
คุณ สายสวรรค์ : ค่ะ
ปรมาจารย์โบบิ : ครับ แล้วผมก็เลยติดนิสัย ก็คือว่า
คุณ สายสวรรค์ : ทำงานในร้านแว่น
ปรมาจารย์โบบิ : ก็ทำในร้านแว่นตั้งแต่เด็ก เราก็ชิน
คุณ สายสวรรค์ : ค่ะ
ปรมาจารย์โบบิ : จนมีอยู่วันหนึ่งจุดที่ชีวิตพลิกผันไปตลอดกาล มีลูกค้าท่านหนึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เดินเข้า มาในร้าน แล้วผมก็เห็นท่านบ่อย ท่านก็มาหลายครั้ง ท่านพูดกับคุณพ่อผมว่า " นายห้างสว่าง แว่นที่นายห้างทำให้ผมใส่สบายมาก ผมไปอยู่ที่ไหน ทำที่ไหน ก็ทำใส่ไม่สบายเท่า ต้องกลับมาทำกับนายห้าง นี่ผมต้องเดินทางจากเชียงใหม่มากรุงเทพ ฯ แล้วกรุงเทพ ฯ มาตรัง เพื่อมาทำแว่นกับนายห้าง แต่ไม่เป็นไร ผมมาได้ แต่ถ้าเกิดนายห้างตายไป แล้วใครจะทำแว่นแบบดี ๆ แบบนี้ให้ผมใส่ " คุณพ่อยิ้ม แล้วก็ชี้มาที่ผม บอกว่า " ถ้าผมตายลูกชายผมคนนี้จะทำแว่นแบบที่ดีที่สุดให้ท่านใส่ ไม่ต้องห่วง "
คุณ สายสวรรค์ : ค่ะ
ปรมาจารย์โบบิ : ผมฟังตอนนั้นขนลุก แล้วก็คืนนั้นผมฝัน ผมฝันเห็นคนแต่งตัวภูมิฐานจากทั่วโลก นั่งเครื่องบิน มาจากทั่วโลก เพื่อมาทำแว่นกับผม เพราะผมทำแว่นได้ดีที่สุดในโลก ผมตื่นขึ้นมา ผมวิ่งไปเล่าความฝัน ให้คุณพ่อฟัง คุณพ่อยิ้ม แล้วท่านพูดสั้น ๆ คำเดียว " ถ้าเชื่อก็ทำได้ทุกสิ่ง " เพราะคำนี้ ผมก็เลย คิดว่าผมจะ ต้องทำแว่นให้ดีที่สุดในโลก เป็นความฝันตั้งแต่ 7 ขวบ แล้วหลังจากนั้น ชีวิตก็เปลี่ยนไป คือ เด็ก 7 ขวบ ที่มุ่งมั่นอยู่กับการทำแว่นให้ดีที่สุดในโลก
คุณ สายสวรรค์ : อ๋อ ค่ะ
ปรมาจารย์โบบิ : ก็ใช้เวลานานหลายสิบปี กว่าผมจะทำแว่นให้ดีที่สุดได้สำเร็จ
คุณ สายสวรรค์ : แต่ว่า ปรมาจารย์โบบิ เหมือนกับได้เรียนลัด แล้วก็การมีความฝันหรือว่ามีเป้าหมายตั้งแต่อายุ 7 ขวบ สำคัญมาก ๆ ในพัฒนาการของชีวิตของคนใดคนหนึ่งเลยนะคะ ยิ่งเราเจอตัวเองช้าหรือว่ามีเป้าหมายช้า เราก็ไปถึงฝั่งฝันได้ช้า ปรมาจารย์โบบิ นี่ 7 ขวบ นี่เห็นแล้ว ว่าตัวเองจะเป็นยังไง
ปรมาจารย์โบบิ : ใช่ครับ
คุณ สายสวรรค์ : แต่เห็นว่าคนอื่น ๆ รอบข้างนี่ อย่างคุณแม่ พี่น้อง ก็มีกันหลายคนก็ยังไม่ได้เชื่อในความฝัน นั้นของปรมาจารย์โบบิ
ปรมาจารย์โบบิ : พวกเขาหัวเราะผม
คุณ สายสวรรค์ : ยกเว้นคุณพ่อ
ปรมาจารย์โบบิ : มีคุณพ่อคนเดียวที่เชื่อว่าผมทำได้
คุณ สายสวรรค์ : ค่ะ เพราะฉะนั้น ในแต่ละคนเนี่ย สมมุติว่าเป็นเด็ก ๆ อยู่ในครอบครัวที่มีใครบางคนเชื่อ และศรัทธาเขา แค่นั้นพอไหมคะกับการเติบโตขึ้นมายิ่งใหญ่
ปรมาจารย์โบบิ : แค่คนเดียวพอแล้วครับ คือชีวิตผมเนี่ย แม่หัวเราะว่าผมเพ้อเจ้อ พี่น้องผมเนี่ย เขาบอกว่าผมบ้า ไร้สาระ เพื่อน ๆ ก็บอกว่าผมขี้โม้ คือการที่มีความฝันที่แตกต่างจากคนอื่นในวัยเด็ก เราต้องเติบโตขึ้นมา ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่มีคนคอยจะดับความฝันเราอยู่ตลอดเวลามีแต่คนทำลายความฝัน เขาบอกไปทำทำไม เป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้หรอก มันยาก
คุณ สายสวรรค์ : ค่ะ อย่าไปเชื่อ
ปรมาจารย์โบบิ : เราต้องไม่รับฟัง คือ มีคนพูด จิตเรามีสวิทซ์อยู่ 2 ตัว สวิทซ์บวก กับสวิทซ์ลบ ดังนั้นใครมาพูดอะไรที่เป็นลบ ใครมาดับความฝัน ก็คือเราก็ปล่อยให้ผ่านไป
คุณ สายสวรรค์ : ค่ะ
ปรมาจารย์โบบิ : อันไหนที่คนที่ให้กำลังใจเรา เราก็เก็บเอาไว้เติบโตเป็นแรงบันดาลใจ เติบโตในความฝันเรา
คุณสายสวรรค์ : ค่ะ ปรมาจารย์โบบิเลยโตขึ้นมาแบบนี้
ปรมาจารย์โบบิ : ใช่ครับ
คุณ สายสวรรค์ : ต่อให้มีสิ่งแวดล้อม แล้วก็เสียงรอบข้างหัวเราะ ดับความฝันหรืออะไรก็แล้วแต่ ปรมาจารย์โบบิ ก็ไม่เชื่อ เพราะแสงสว่างมันอยู่ในใจ เห็นภาพชัดในหัว แล้วก็เลยเติบโตขึ้นมาแบบนี้
ปรมาจารย์โบบิ : ครับ
คุณ สายสวรรค์ : เห็นว่า ปรมาจารย์โบบิ คือ ไปเรียนเพื่อที่จะรับใช้พระเจ้า มาเรียนที่กรุงเทพ ฯ มีเส้นทางแบบนี้ ในชีวิตด้วยหรอคะ เล่าให้ฟังสักนิดสิคะ
ปรมาจารย์โบบิ : คือ ตัวผม ตั้งแต่ในวัยเด็ก ผมอยู่ในครอบครัวคริสเตียน เราเชื่อพระเจ้าครับ
คุณ สายสวรรค์ : คุณพ่อนี่ศรัทธาแก่กล้ามาก
ปรมาจารย์โบบิ : คุณพ่อเชื่อพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าช่วยให้คุณพ่อจากล้มละลาย ช่วยให้คุณพ่อเปิดร้านทำแว่น ที่ดีที่สุดได้นะครับ ส่วนตัวผมเอง ผมเกิดมาในครอบครัวที่คุณพ่อเชื่อพระเจ้า แล้วเราเห็นสิ่งที่พระเจ้า ทำผ่านชีวิต ของครอบครัวของเรา คุณพ่อผมท่านสอนเสมอว่า ให้เรามีความเชื่อในพระเจ้า
ไม่มีอะไรที่ยากสำหรับพระเจ้า นั้นคือสิ่งที่คุณพ่อปลูกฝัง ส่วนตัวผมเอง ผมประสบอุบัติเหตุที่วิ่งชนกระจก แล้วก็ตั้งแต่ในวัย ประมาณ 3 ขวบ เกิดเป็นแผลตั้งแต่ศีรษะถึงจมูกนะครับ แล้วก็ติดเชื้อ ต่อมาก็เป็นโพรงไซนัสอักเสบแล้วก็ เป็นรุนแรงถึงขนาดต้องผ่าตัด อาจจะอันตรายถึงตาย ผมก็อธิษฐานต่อพระเจ้าว่า ถ้าพระเจ้ามีจริงให้พระเจ้า รักษาผมให้หาย แล้วผมจะรับใช้พระเจ้า แล้วผมอธิษฐานอยู่ประมาณอาทิตย์หนึ่ง พระเจ้าก็ตอบ ผมก็หาย แต่ผมก็ยังเฉย ๆ ทำเป็นลืมไปตามประสา ตอนนั้นผมอายุประมาณ 10 ขวบ หลังจากนั้นผมอายุประมาณ 15 ขวบ เล่นกีฬาแล้วก็โดนกระแทกจากด้านหลัง ก็ร่วงลงมา กระดูกสันหลังร้าว เดินไม่ได้
คุณ สายสวรรค์ : เจ็บหนักหลายครั้งนะคะ
ปรมาจารย์โบบิ : ก็อธิษฐานกับพระเจ้าว่า ถ้าพระเจ้ารักษาผมให้เดินได้ คราวนี้ผมจะถวายตัวเป็นผู้รับใช้พระเจ้า
คุณ สายสวรรค์ : ที่มาเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วก็พออาการดีขึ้น สุขภาพดีขึ้น
ปรมาจารย์โบบิ : พระเจ้าก็รักษาเดินได้ปกติทุกวันนี้วิ่งได้สบายบรื๋อ ตั้งแต่ตอนนั้นหายขาด
คุณ สายสวรรค์ : ค่ะ แต่ว่าเส้นทางในการรับใช้พระเจ้าของ ปรมาจารย์โบบิ ก็เป็นรูปแบบใหม่ เพราะว่าอาจจะไม่ได้ไปบวช ถือบวชไปเป็นคนสอนศาสนาแบบนั้น แต่ว่าสิ่งที่ ปรมาจารย์โบบิ ถ่ายทอดให้กับคนรอบข้าง คนใกล้ชิดที่ได้รู้จักแล้วก็ศรัทธา ปรมาจารย์โบบิ ก็ถ่ายทอดวิธีคิดดี ๆ อันเนื่องมาจากการศรัทธาพระเจ้าอยู่แล้ว ในทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าจะเรียนมาทางด้านการรับใช้ศาสนา หรือว่าทางด้านการรับใช้พระเจ้า 4 ปี ใช่ไหมคะ หลักสูตร
ปรมาจารย์โบบิ : ครับ หลักสูตร 4 ปี ครับ
คุณ สายสวรรค์ : ค่ะ แต่ว่าเส้นทางชีวิตของ ปรมาจารย์โบบิ นะคะกลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญการตรวจวัดสายตา ประกอบแว่นโปรเกรสซีฟอัจฉริยะเฉพาะบุคคล แบบไฮเอนด์ที่ดีที่สุดในโลกได้อย่างไร เคล็บลับความสำเร็จนี้อยู่ตรงไหน ช่วงหน้า กลับมาฟัง เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ ไม่ว่าท่านอยากจะก้าวเดินตามเส้นทางแบบ ปรมาจารย์โบบิ หรือเส้นทางชีวิต ท่านเป็นอย่างไรก็ตามค่ะ
คุณ สายสวรรค์ : ค่ะ
ปรมาจารย์โบบิ : คนเรา ก็จะมีปัญหาในเรื่องของการเพ่งในระยะใกล้ ความสามารถในการมองเห็นชัดทุกระยะในเสี้ยววินาที หายไปตามวัย อายุ 40 , 45 ก็ค่อยลดลง 50 , 60 ผมศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่อง เลนส์แว่นตาโปรเกรสซีฟ เพื่อจะหาสาเหตุว่า ต้องทำอย่างไร ถึงจะได้แว่นโปรเกรสซีฟที่ใส่สบาย
คุณ สายสวรรค์ : แว่นโปรเกรสซีฟ หมายถึงแว่นตาอันเดียว แล้วก็สามารถมองเห็นได้ชัดทุกระยะ
ปรมาจารย์โบบิ : ครับ ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตาม
คุณ สายสวรรค์ : เพราะบางทีในสังคมไทย เราก็จะเห็นผู้ใหญ่หลายคน มีแว่นหลายอันมาก อันนี้ อ้าวเปลี่ยน ถ้าจะอ่านหนังสือต้องเปลี่ยนเป็นอันนี้ สมมุติจะเงยหน้าดูถนนหรือว่าดูทีวี เปลี่ยนเป็นอีกอันหนึ่ง อะไรแบบนี้ แต่ถ้าแว่นตาโปรเกรสซีฟ คือ ใส่อันเดียว
ปรมาจารย์โบบิ : ใส่อันเดียวสามารถมองเห็นได้ตั้งแต่ระยะ 40 เซนติเมตร ไปจนถึงระยะอนันต์นะครับ ที่นี้ความยากของเลนส์แว่นตาโปรเกรสซีฟ ก็คือว่า การเปลี่ยนแปลงกำลังเลนส์ที่สลับซับซ้อน ถ้าเทคโนโลยีไม่สูงพอ การตรวจวัดสายตาไม่แม่นยำ ไม่เที่ยงตรงจริง ๆ ประสิทธิ์ภาพของเลนส์จะลดลง ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ว่ามีคนที่ซื้อแว่นโปรเกรสซีฟแล้ว ใส่ไม่สบาย มากกว่าครึ่งใส่ไม่ได้
คุณ สายสวรรค์ : ค่ะ มีทั้งเวียนหัว มีทั้งระยะผิดเพี้ยน ระยะมุมมองสายตาที่ผิดเพี้ยนไป
ปรมาจารย์โบบิ : ใช่ครับ คือ เวียนหัว เนื่องจากว่าภาพบิดเบี้ยวด้านข้าง เกิดจากคุณภาพของเลนส์ และตำแหน่งแว่นที่มันผิดพลาด ภาพด้านข้างจะล้ม แล้วก็เบี้ยว ๆ ทำให้ปวดหัว แล้วก็การเปลี่ยนแปลงกำลังเลนส์ที่ไม่นุ่มนวล ไม่ละเอียด ไม่แม่นยำพอนะครับ จะทำให้ความสามารถในการโฟกัสภาพจากระยะไกลมาระยะใกล้ช้า ก็จะทำให้รู้สึกไม่สบายตา แล้วก็จะปรับตัวยาก
คุณ สายสวรรค์ : พอไม่สบายตา ปรับตัวไม่ได้ ก็เลิกใส่
ปรมาจารย์โบบิ : ใช่ครับ
คุณ สายสวรรค์ : ก็เป็นแบบนั้น
ปรมาจารย์โบบิ : ใช่ครับ
คุณ สายสวรรค์ : แว่นตาแบบโปรเกรสซีฟนี่มีมานานหลายปีแล้วหรือยังคะ
ปรมาจารย์โบบิ : เลนส์โปรเกรสซีฟพยายามค้นคว้ามาประมาณ 100 ปีที่ผ่านมา แล้วก็ก้าวกระโดดของเลนส์โปรเกรสซีฟมาอยู่ในปี 2000 ซึ่งเป็นปีที่เรามีเทคโนโลยีที่ออกแบบเลนส์ ผลิตเฉพาะบุคคล นั่นคือก้าวกระโดด
คุณ สายสวรรค์ : 15 ปีที่ผ่านมานี่เอง
ปรมาจารย์โบบิ : ใช่ครับ คือ แว่นโปรเกรสซีฟอัจฉริยะเฉพาะบุคคลที่ใส่สบาย พึ่งมาเริ่มได้จริง ๆ 15 ปีที่ผ่านมา และผมนี่แหละเป็นคนที่ ผลักดันให้มีการทำเลนส์ชนิดนี้ออกมา
คุณ สายสวรรค์ : อ๋อ ค่ะ
ปรมาจารย์โบบิ : ครับ
คุณ สายสวรรค์ : แล้วอาจารย์ไปได้แรงบันดาลใจมาจากไหน ถึงมาเจาะจงเรื่องของแว่นโปรเกรสซีฟ เอาล่ะ ตอนเด็กมาเราอยู่ในร้านคุณพ่อ ก็ยังไม่ได้มีเทคโนโลยีแบบนี้ ถูกไหมคะ
ปรมาจารย์โบบิ : ครับ
คุณ สายสวรรค์ : แล้วก็เติบโตขึ้นมา อะไรต่าง ๆ แปลว่า ปรมาจารย์โบบิ ศึกษามาโดยตลอด ว่าจะทำอย่างไร ที่จะได้แว่นที่สมบูรณ์แบบที่สุด
ปรมาจารย์โบบิ : ใช่ครับ คือ ในยุคที่แว่นโปรเกรสซีฟ ก่อนปี 2000 ในยุคที่แว่นโปรเกรสซีฟใส่แล้ว ส่วนใหญ่ ใส่ไม่สบาย ตอนนั้นผมสามารถที่จะทำให้แว่นโปรเกรสซีฟ ใส่สบาย ในเทคโนโลยีอื่น เพราะว่า ตอนนั้นผมทำระบบ 3 มิติ ผมเป็นคนคิดค้น หัวใจ คือ
- การเลือกโครงสร้างเลนส์ที่ถูกต้อง คุณภาพเลนส์ต้องดีที่สุด
- ตำแหน่งต้องถูกต้อง เที่ยงตรง แม่นยำมากที่สุด
- ค่าทุกอย่างจะต้องเป๊ะหมด
ถ้าควบคุมตัวแปรเหล่านี้ได้ ประสิทธิ์ภาพของเลนส์จะเพิ่มขึ้น คือ ที่ผ่านมา คนใส่แว่นโปรเกรสซีฟ แล้วไม่สบาย เพราะความสามารถของเลนส์ ฟังก์ชั่นของเลนส์มันทำงานไม่เต็มประสิทธิ์ภาพ
คุณ สายสวรรค์ : อ๋อค่ะ
ปรมาจารย์โบบิ : จากที่มันควรจะใช้งานได้เต็มประสิทธิ์ภาพ มันเหลือแค่ส่วนหนึ่งของประสิทธิ์ภาพเลนส์จริง ผมเป็นคนที่ทำแล้ว สามารถดึงความสามารถของเลนส์ ฟังก์ชั่นของเลนส์ ให้สามารถใช้งานได้
คุณ สายสวรรค์ : อาจารย์ไปเรียนจากใคร อุปกรณ์ เทคโนโลยีหรือว่าบุคลากรที่อาจารย์ไปดูดความรู้ มาเพื่อสร้างสิ่งใหม่ คือ
ปรมาจารย์โบบิ : คือ เลนส์โปรเกรสซีฟอัจฉริยะ เวลาเราสั่ง เราจะต้องคุยกับทางฝ่ายวิชาการทุกครั้ง เวลาเราทำเลนส์แว่นตาโปรเกรสซีฟ ผมจะถามทางบริษัทผู้ผลิตนะครับ
คุณ สายสวรรค์ : คือ ปรมาจารย์โบบิ บอกจะเอาสเปคแบบนี้ เขาต้องคิดค้นให้ได้ตามที่อาจารย์ต้องการ
ปรมาจารย์โบบิ : ใช่ครับ อย่างเขาออกเลนส์มา เลนส์บอกว่าอ้างว่าดีนั่นนู่นนี่ ผมทดสอบแล้ว ลูกค้ามีคอมเมนต์ ผมจะเทสกับลูกค้าแต่ละคน ดังนั้นเลนส์ชนิดหนึ่งจะเหมาะกับคนบางคน เลนส์อีกรุ่นหนึ่งจะเหมาะกับคนบางคน ดังนั้นต้องแยกแยะให้ออก วิธีที่เขามอง เขามองตรง เวลาเขาจะเหลือบตา เขาเหลือบแบบนี้หรือว่ามองตรงแล้วเขาหันมาดูภาพด้านข้าง ตัวแปรเหล่านี้มีผลหมด
คุณ สายสวรรค์ : เป็นคนเคลื่อนไหวเร็วหรือช้า เป็นคนชอบเหลือบตาบนล่าง กรอกตาไปมารวดเร็วไหม แปลว่าการตรวจวัดสายตาประกอบแว่นของไอซอพติกของ ปรมาจารย์โบบิ ละเอียดถึงขั้นพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนคนนั้นเลย ไม่ใช่แค่ไปนั่งดู วัดอะไรต่าง ๆ เหมือนกับแบบเดิม ๆ ที่เราคุ้นเคย
ปรมาจารย์โบบิ : คือ หลังปี 2000 เราสามารถที่จะสร้างแว่นตา อย่างเฉพาะ เจาะจงเข้ากับบุคคลแต่ละคน บนกรอบแว่นแต่ละอัน ตามพฤติกรรมการใช้สายตาของแต่ละคนสามารถทำได้
คุณ สายสวรรค์ : ขนาดนั้นเลย
ปรมาจารย์โบบิ : ครับ โดยเทคโนโลยีเฉพาะของผมเอง คือ เทคโนโลยีของไอซอพติกเท่านั้น คือ หลายคนพยายามทำ ทำแล้วสุดท้ายมันก็เหมือนจะไปเจอปัญหาเดิม คือ เลนส์ใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิ์ภาพ
คุณสายสวรรค์ : ค่ะ อย่างนี้นี่เอง
ปรมาจารย์โบบิ : ความยากก็คือ ทำอย่างไรที่จะวิเคราะห์ และก็สร้างเลนส์ขึ้นมาอย่างเฉพาะเจาะจง ให้กับคนแต่ละคน บนกรอบแว่นแต่ละอัน เพื่อจะให้เขาใส่แว่นปุ๊บ เขามีความรู้สึกเสมือนหนึ่งว่าอายุ 60 ปี รู้สึกเหมือนกลับไป 30 ปี ใส่แว่นแล้วมองเห็นชัดทุกระยะ แล้วลืมไปว่าตัวเองใส่แว่นอยู่ เหมือนกับมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
คุณ สายสวรรค์ : เบาสบาย เป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะในร่างกายเลย
ปรมาจารย์โบบิ : ใช่ครับ เหมือนกับเป็นอวัยวะหนึ่งของร่างกาย ลืมเรื่องแว่นไปเลย นั่นคือแว่นที่ดี ต้องทำได้แบบนั้น
คุณ สายสวรรค์ : ค่ะ แปลว่าแว่นตาหนึ่งอัน มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกเท่านั้น เพราะเราเป็นคนที่มีคนเดียวในโลก นั่นคืออย่างนั้นเลย สูตรลับแห่งความสำเร็จของไอซอพติก บวกของ ปรมาจารย์โบบิ ที่คิดค้นขึ้น
ปรมาจารย์โบบิ : ใช่ครับ
คุณ สายสวรรค์ : แล้วทำไมของคนอื่นเขาถึงทำไม่ได้ ปรมาจารย์โบบิไปเจาะ แล้วก็หัวใจของสิ่งที่อาจารย์มุ่งมั่น ทำ คิดค้น พัฒนาจนกระทั่งสร้างแบรนด์ และสร้างความเชื่อถือได้ขนาดนี้ กุญแจมันอยู่ที่ไหนคะ
ปรมาจารย์โบบิ : กุญแจอยู่ที่ว่าเราไม่เคยหยุดนิ่ง เราทุ่มเทว่าแว่น 1 อัน เราทำเป็นมาสเตอร์พีซ ให้กับลูกค้าหนึ่งคน ดังนั้น เราจะลงทุนทำแว่นที่ดีให้กับลูกค้าแต่ละคน ซึ่งเสียเวลานะครับเฉพาะการตรวจอย่างเดียว
2 ชั่วโมง การออกแบบเลนส์ใช้เวลาอีกประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ เวลาผลิตเลนส์ใช้เวลาอีกประมาณ 6 - 8 สัปดาห์ รวมทั้งหมดกว่าจะได้แว่นอันหนึ่งใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ตัวกรอบแว่นก็สั่งพิเศษให้หมด สั่งตามเฉพาะบุคคล ตามขนาดความยาวของจมูกจนถึงหลังใบหู ระยะช่วงจมูก คนจมูกมีดั้ง ดั้งน้อย ดั้งมาก ระยะห่างระหว่างดวงตาถึงแว่นทุกอย่างถูกเอามาวิเคราะห์ และก็ออกแบบตัวกรอบ และเลนส์สั่งพิเศษ หมดครับ
คุณ สายสวรรค์ : ค่ะ เพราะฉะนั้น จึงไม่แปลกในเรื่องของมูลค่า เพราะบางคนบอกว่าแว่นปรมาจารย์โบบินี้แพง มากเป็นแสน หลาย ๆ แสนก็มี บางคนก็ตกใจ แต่ถ้าเป็นคนที่เขายอมรับ แล้วก็รู้สึกว่ามันคืออวัยวะส่วนหนึ่ง ของร่างกายจริง ๆ เขาก็จะเข้าใจว่ามูลค่า มันอยู่ตรงนี้ ใช่ไหมคะ
ปรมาจารย์โบบิ : ใช่ครับ
คุณ สายสวรรค์ : นี่คือลูกค้ามาจากทั่วโลกเลยหรอคะ
ปรมาจารย์โบบิ : ใช่ครับผม
คุณ สายสวรรค์ : สุดยอดมาก ส่วนใหญ่นี่ชาวต่างชาติเขารู้จักจากอะไร
ปรมาจารย์โบบิ : ส่วนใหญ่เขารู้จักผมส่วนหนึ่ง ก็คือจากบริษัทผู้ผลิตเลนส์ที่เป็นระดับไฮเอนด์ คือ ปกติลูกค้าในต่างประเทศ เวลาเขามีปัญหา แล้วก็เขาพยายามที่จะทำแว่นตามร้านในประเทศที่เขาอยู่ แล้วก็ทำแล้วสุดท้าย ก็ยังใส่ไม่ได้ ใส่ไม่สบาย เขาก็จะติดต่อบริษัทผู้ผลิต แล้วเขาถามเลยว่า ผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่ดีที่สุด ทำไมใส่แล้วถึงใช้ไม่ได้ เขาก็ถามว่าใครฝีมือดีที่สุด เขาก็จะแนะนำผม นี่เป็นเหตุว่าทำไมลูกค้าถึง ต้องบินมาทำกับผม
คุณ สายสวรรค์ : ก็เลยจากปากต่อปาก ทำให้ทุกคนบินมาหาปรมาจารย์โบบิ แล้วพอมาแล้ว ประสบความสำเร็จ มีความสุขกับการใส่แว่นแบบโปรเกรสซีฟของปรมาจารย์โบบิ ก็เลยบินมาซ้ำ บินมาซ้ำ ทำให้หนิงนึกถึง ที่ ปรมาจารย์โบบิ เล่าเมื่อสักครู ที่ลูกค้าของคุณพ่อ จากจังหวัดตรัง ตัดแว่นแล้วจะย้ายไปที่ไหนในประเทศ ก็ยังหาที่ ถูกใจไม่ได้ ก็ต้องไปหาคุณพ่ออยู่ดี ตอนนี้ ปรมาจารย์โบบิ ทำแบบนั้น ต่อยอดจากคุณพ่อไปได้ในระดับโลก สุดยอดมาก ๆ เลยนะคะ นี่ก็คือการคิดใหญ่ ฝันใหญ่ ทุ่มเท แล้วก็ทำสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุด