คุณ สุทธาภูริณีญ์ จิตราวิริยา
อายุ ปี
เริ่มมีปัญหาสายตั้งแต่เด็ก น่าจะประมาณ ป.5 เพราะว่าเริ่มจากที่บ้านเขาใส่แว่นตากันหมด แล้วเราก็ไปเอาแว่นตาของที่บ้านมาใส่เล่นบ้าง พอนานวันไป ปรากฎว่าไปที่โรงเรียนมองกระดานไม่ชัด ตอนแรกมาบอกที่บ้าน ที่บ้านก็ไม่เชื่อ คิดว่าเราคงอยากใส่แว่นมากแน่ ๆ แต่ปรากฎว่ามันมองไม่เห็นจริง ๆ หลายวันผ่านไป เขาก็เลยลองพาไปวัดสายตาร้านแถวบ้าน ก็ปรากฎว่าสายตาสั้นมากจริง ๆ ก็จำได้ว่า สายตาสั้นประมาณ 300 ถึง 400 แต่ว่าโชคดีว่ามันสั้นเท่ากัน 2 ข้าง ไม่มีสายตาเอียงสักเท่าไร และการที่เราใส่แว่นตาตั้งแต่เด็ก และสายตาเราสั้นเยอะ เราก็จะเจอปัญหาเยอะ ในหลากหลายรูปแบบตั้งแต่เด็ก คือ พอสายตาสั้นเยอะ เลนส์มันหนัก เมื่อเลนส์หนักกดตรงดั้งจมูกทำให้รู้สึกเจ็บหรือแม้แต่เวลาที่กรอบแว่นมันดัดไม่พอดี บางครั้งก็จะแน่นเกินไป เจ็บหลังหูบ้าง ปวดหัวบ้าง ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเราเป็นอะไร ซึ่งคิดดูว่าชีวิต ยิ่งถ้าเกิดว่าต้องเรียน สอบ เครียด ๆ ยิ่งไปกันใหญ่ค่ะ
หลังจากนั้นก็เคยไปตรวจวัดสายตาที่ละเอียดมากครั้งหนึ่ง แต่อันนั้น คือ เป็นเหมือนกับว่าเตรียมที่จะทำเลเซอร์ แล้วเขาให้ไปลองตรวจวัดสายตาก่อน แต่คราวนี้เราก็ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมขึ้น ก็พบว่าคนที่ไปทำเลเซอร์มา บางคนมีประสบการณ์ที่มีผลข้างเคียง ซึ่งถ้าเราไม่ได้ทำ เราใส่แว่นอยู่แบบนี้ ความเสี่ยงนั้นมันเป็นศูนย์ เลยคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเราลองมาที่ ไอซอพติก ก่อนดีไหม มาลองดูว่ามันอาจจะมีแว่นที่เราใส่แล้วชีวิตไม่ได้ลำบากขนาดนั้น
แต่ก็เคยได้ยิน ทั้งพี่ ๆ ที่ทำงานหรือว่าพี่ชายตัวเองที่มีประสบการณ์กับแว่นตาโปรเกรสซีฟว่าการปรับตัวกับเลนส์โปรเกรสซีฟมันท้าทายมาก บางครั้งมันถึงขั้นปวดหัวไปเลย คือ เราจำความรู้สึกตอนที่ปวดหัวจากการใช้ซิงเกิ้ลเลนส์ได้ มันก็แย่พอแล้ว ถ้าแว่นตาโปรเกรสซีฟเราต้องเป็นอย่างนั้นอีก
จากนั้นก็ได้มาเจอแว่นตาโปรเกรสซีฟ ของศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก ซึ่งพบว่าเมื่อตัดแว่นกับที่นี่แล้วนำกลับไปใช้งานจริง ไม่ค่อยได้รู้สึกว่าต้องปรับตัว นี่คือข้อดีอย่างหนึ่งจากประสบการณ์การใช้เลนส์โปรเกรสซีฟของศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก เพราะ เคยตัดแว่นมา บางครั้งเราก็ต้องปรับตัวกับทั้งเลนส์ และกรอบแว่น แล้วมันจะมีเลนส์บางอันที่ตอนแรก ๆ ที่ใช้จะมีอาการล้าของดวงตา มันไม่ถึงขั้นปวดหัว แต่ว่ามันรู้สึกว่าตามันล้ามาก เหนื่อย ซึ่งทำให้เราต้องพักสายตาด้วยการถอดแว่นตา แต่ปรากฎว่าของที่นี่ คือ เหมือนเลนส์แก้วตาอีกหนึ่งชั้น เราสามารถจะใส่ติดไว้ได้ตลอดเวลา ยกเว้นตอนหลับ
ส่วนเรื่องการตรวจวัดสายตา วิเคราะห์ระบบการมองเห็น ของศูนยแว่นตาไอซอพติก ที่นี่ตรวจละเอียดมาก แต่หลังจากที่ตรวจเสร็จ และมารับแว่น ขั้นตอนในการรับแว่น ยังมีการทดสอบการใช้งานที่วัดตำแหน่งของกรอบแว่นอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ปรากฎว่าพอไปใช้งานก็เลยเข้าใจว่า นี่แหละคือ สิ่งที่เขาพูดถึงว่าการใส่แว่นแล้วมันเหมือนดวงตาของเรา เป็นตาของเราดี ๆ ไปเลย
แล้วอาการเห็นภาพวูบวาบบิดเบี้ยวด้านข้างไม่เจอเลย ถึงได้บอกว่าชีวิตมันสบายขึ้น เหมือนกับว่าเราได้เลนส์สายตา เลนส์ตา เนื้อตาของเราอีกหนึ่งชั้น โดยที่เราไม่มีความเครียดของดวงตา ความล้าจากเลนส์หรือการปรับตัวกับเลนส์ และไม่มีอาการปวดหัวหรือปวดหลังหู ซึ่งเกิดจากกรอบที่มันแน่นเกินไป อีกอย่างหนึ่ง คือ เวลาใช้งานไปนาน ๆ บางครั้งเนื่องจากว่ากรอบนี่มันก็อายุการใช้งานนานมาก เคยมีบางครั้งนอนอ่านหนังสือกลิ้งไปทับจนกรอบแว่นบิดเบี้ยวทำให้กรอบแว่นเสียทรง จึงนำมาให้ที่นี่ ที่นี่ก็บริการซ่อมแซมหรือแม้แต่เปลี่ยนอันใหม่ให้กลับมาเป็นสภาพที่ใช้งานได้ดีเหมือนเดิม ตรงนี้ที่ประทับใจมาก
และในส่วนของการบริการที่นี่ละเอียดทุกขั้นตอนตั้งแต่เริ่มทำแว่น จนภายหลังรับแว่นไปแล้ว ภายหลังรับแว่นไปแล้ว คือ หมายความว่า ตอนมารับแว่น ที่นี่จะมีการตรวจตำแหน่งแว่น ตำแหน่งกรอบอย่างละเอียด แล้วลองก้มหน้าเงยหน้าว่าเป็นอย่างไร พอเอาไปใช้จริงถึงได้บอกว่าแทบไม่ต้องปรับตัวเลย แล้วปรากฎว่าหลังใช้งานสักพัก ก็จะมีโทร Follow up ว่าใช้งานแล้วเป็นอย่างไร ซึ่งก็อย่างที่บอกไปว่ามันแทบไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย มันสบายมากจริง ๆ และแว่นตาโปรเกรสซีฟ ของศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก สามารถใส่ได้อันเดียวเลย แต่ว่าแพ็กเก็จที่ซื้อไป ก็จะมีแว่นอีกหนึ่งอันที่เป็นแว่นสำหรับใช้งานระยะใกล้ เมื่อเราลองใช้ ก็พบว่าแว่นตาใช้งานได้ดีในระยะใกล้ ที่ต้องการใช้เวลานาน อย่างอ่านหนังสือหรือเล่นคอมพิวเตอร์ ที่ต้องใช้ระยะเวลานาน และมันก็สบายตากว่า
ส่วนเรื่องราคา เราต้องยอมรับว่า เวลาจะบอกใครว่าทำไมเราถึงยอมที่จะจ่ายขนาดนี้เพื่อที่จะใช้แว่นตา แต่จากประสบการณ์ที่ใช้แว่นตั้งแต่เด็ก ทำให้รู้ว่าการที่มีแว่นที่เป็นเหมือนอวัยวะส่วนหนึ่งของตาเราโดยที่มันสบายมากจริง ๆ มันคุ้มค่า มันเปรียบเทียบกับอะไรไม่ได้ เลยคิดว่านี่คือสิ่งที่เราได้รับความสบาย คุ้มค่าที่สุดแล้ว
