รายการห้องแนะแนวในวันนี้พบกับช่างตัดแว่นระดับมาสเตอร์เจ้าของร้านแว่นคุณภาพระดับไฮเอนด์หนึ่งเดียวของโลกพบกับ ปรมาจารย์โบบิ
ดร. อรรถวิท : สวัสดีครับน้อง ๆ และท่านผู้ชมทางบ้านครับ ช่วงนี้เป็นช่วงเปิดแฟ้มรุ่นพี่ที่ผมพาน้อง ๆ และท่านผู้ชมทางบ้านมาพบกับรุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จในสายอาชีพนะครับ มาพบกับนักตัดแว่นสายตามืออาชีพระดับปรมาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านแว่นโปรเกรสซีฟระดับไฮเอนด์ ซึ่งวันนี้ท่านก็จะมาแนะนำว่าโลกแห่งการตัดแว่นนี้เป็นอย่างไร เราไปพบรุ่นพี่ของเราท่านนี้เลยครับท่านชื่อ คุณ สมบูรณ์ นำทิพย์จันทาเจริญ หรือ ปรมาจารย์โบบิ ครับ สวัสดีครับ ปรมาจารย์โบบิ
ปรมาจารย์โบบิ : สวัสดีครับ
ดร. อรรถวิท : อยากให้อาจารย์ช่วยเล่าว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้างครับ
ปรมาจารย์โบบิ : หลัก ๆ คือดูแลเรื่องของการวัดสายตาประกอบแว่นระบบดิจิตอล 3 มิติซึ่งมันเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เราพยายามที่จะให้คนทุกคนมีคุณภาพการมองเห็นที่ดีที่สุดเท่าที่เทคโนโลยีในปัจจุบันจะเป็นไปได้ ทำให้เขารู้สึกสบายที่สุด เพื่อให้สมองของเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพมากที่สุดไม่ว่าเขาจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม ดังนั้นเราต้องพยายามที่จะทำแว่นให้คนในวัย 40 - 90 ปี กลับมามองเห็นได้ชัดทุกระยะในเสี้ยววินาทีอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดอย่างรู้สึกสบายที่สุด ให้คล้าย ๆ กับตอนเขาอายุ 30 ให้ได้มากที่สุดครับ
ดร. อรรถวิท : การเปลี่ยนแปลงของสายตานี้มันเป็นยังไงครับพอตอนอายุเล็ก ๆ สายตาสั้นแบบหนึ่ง พออายุ 40 ขึ้นไปสายตามันจะมองไม่ค่อยเห็นแล้วใช่ไหมครับ
ปรมาจารย์โบบิ : ในเด็กที่แรกเกิดมาในเด็กที่สายตาปกติ เมื่อยังเล็ก ๆ สายตาเขาจะเป็นสายตายาว
ดร. อรรถวิท : มองเห็นได้ไกลใช่ไหมครับ
ปรมาจารย์โบบิ : ใช่ครับ แล้วก็เมื่อเขาค่อย ๆ โตขึ้นสายตายาวจะค่อย ๆ ลดลงตามการเจริญเติบโตจนกระทั้งสายตาปกติในวัยประมาณ 4 - 6 ขวบ สายตาก็จะเริ่มนิ่งเป็นปกติ แล้วก็สายตาของเขาก็จะเริ่มมีปัญหาอีกครั้งหนึ่งตอนช่วงวัยประมาณ 40 ความสามารถในการเพ่งเริ่มลดน้อยลงเพราะว่าเลนส์ตา เลนส์แก้วตาที่อยู่ข้างในจะเริ่มแข็งตัวทำให้ต้องใช้กำลังมากขึ้นในการปรับความโค้งของเลนส์เพื่อที่จะได้เห็นภาพที่ชัด และสบายตาที่ระยะใกล้นั้นคือเด็กปกติทั่ว ๆ ไป แต่ในเด็กที่ไม่ปกติ หมายถึงคลอดออกมาเด็กมีลักษณะสายตาเป็นปกติ เด็กลักษณะแบบนี้พอโตขึ้นจะเป็นสายตาสั้น
ดร. อรรถวิท : อาจารย์เปิดร้านไอซอพติกมีวาง Positioning ยังไงบ้างครับ
ปรมาจารย์โบบิ : คือที่ไอซอพติกเราวาง Positioning ของเราคือเป็น The Hi - End Eyeglasses Centre หมายความว่าเราเป็นที่ตรวจวัดสายตาแล้วประกอบแว่นระดับไฮเอนด์ ใช้คำว่า The เพราะยังไม่มีใครทำได้สำเร็จเพราะว่ารายละเอียดเยอะแล้วก็การควบคุม Product คุณภาพ ตั้งแต่ขั้นตอนในการตรวจวัด , ออกแบบ , การผลิต และการประกอบ แล้วก็การปรับปรุงแว่นตาให้เข้ากันกับตำแหน่งที่ถูกต้องมันมีรายละเอียดมากกว่าแว่นตาปกติทั่วไปที่ใช้กันอยู่ งานมันเยอะจุกจิก แล้วก็ทำยากครับต้องใช้เครื่องมือที่ต้องลงทุนเยอะแล้วก็บุคลากรต้องพร้อมนะครับที่สำคัญก็คือกว่าจะทำแว่นออกมาได้ 1 อัน ใช้เวลาใช้ความทุ่มเทกว่าแว่นทั่วไปเป็น 100 เท่ามันเป็นการทำงานแบบมาสเตอร์พีซ มันไม่ได้ทำแบบเป็นการผลิตครั้งละมาก ๆ อย่างงั้นไม่ใช่แค่แว่นสายตาละ มันเป็นผลงานชิ้นเอกสำหรับมนุษย์แต่ละคนให้เขามองเห็นได้ดีที่สุด
ดร. อรรถวิท : น่าสนใจมากเลยนะครับ แต่ก่อนที่จะถามรายละเอียดของกระบวนการต่าง ๆ นี้ผมอยากถามว่าคำว่า Hi - End ของอาจารย์ที่บอกว่าเป็นแว่นไฮเอนด์ หมายถึงราคาแว่นต้องพอสมควรด้วยใช่ไหมครับ แล้วก็กระบวนการการผลิตก็ต้องพิถีพิถันอย่างที่อาจารย์ว่ามา
ปรมาจารย์โบบิ : ไอซอพติกพร้อมในคุณภาพในการให้บริการ โดยยึดหลักที่ว่าเรากำลังนำเสนอคุณภาพสินค้าที่ดีที่สุด พร้อมทั้งการบริการหลังการขายที่ดีที่สุดเท่าที่เทคโนโลยีในปัจจุบันจะเป็นไปได้ นี่คือ Hi - End
ดร. อรรถวิท : แล้วคราวนี้กระบวนการที่บอกว่ามีเทคโนโลยีขั้นสูง แล้วก็ที่ผลิตแว่นใช้ความยากในการทำมากกว่าแว่นตาอื่น ๆ เราต้องซื้อเทคโนโลยีเครื่องเหล่านั้นมาใช่ไหมครับ
ปรมาจารย์โบบิ : คือ ณ ตอนนี้เรายังไม่สามารถที่จะผลิตเครื่องมือขึ้นมาเองได้ เราจึงร่วมมือกับทางบริษัทผู้ผลิตเลนส์ที่ทันสมัยที่เยอรมันก็คือบริษัทโรเด้นสต๊อก ซึ่งประวัติความเป็นมาเป็นเรื่องที่พัฒนากันมาอย่างยาวนานถึงประมาณ 20 กว่าปี คือ ปกติแล้วที่ผ่านมาเลนส์แว่นตาที่ใช้กันอยู่ จนถึงวันนี้ยังเป็นเลนส์ที่แบบผลิตกันมาอย่างสำเร็จรูปด้วยวิธีการหล่อ วิธีการฉีด หรือกึ่งสำเร็จรูปเพื่อลดต้นทุนการผลิตซึ่งเป็นการผลิตเลนส์แบบโครงสร้างเดี่ยว หรือมีไม่กี่โครงสร้างแล้วคนที่ใช้สายตาหรือคนที่ใส่แว่นต้องพยายามปรับตัวเข้าหาแว่นเอาเอง นี้เป็นเหตุว่าทำไมเวลาเราตัดแว่นครั้งแรก เราต้องใช้เวลาปรับตัวนาน ใส่แล้วพื้นมันจะลอย ๆ
ช่วงเปิดแฟ้มรุ่นพี่
ปรมาจารย์โบบิ : คนที่เก่งกว่าผมที่เยอะนะ ผมต่างจากเขาผมทำแว่นที่ดีเพราะผมตั้งใจทำมันมาก และผมใช้ใจของผม ผมทำอย่างสุดกำลัง สุดความคิด สุดจิตสุดใจ สุดปัญญา อย่ามีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง จงมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นแล้วคุณจะมีคุณค่า แล้วคุณจะมีพลัง
ดร. อรรถวิท : ผมได้ยินมาว่าคนที่ไปตัดแว่นครั้งแรกจากร้านดี ๆ บางร้านมีผู้เชี่ยวชาญนะครับ พอใส่เข้าไปแล้วปวดหัว ถึงแม้ว่าการตัดแว่น การตรวจวัดสายตาก็อาจจะน่าจะถูกหลักของเขา
ปรมาจารย์โบบิ : เกิดจากว่า เลนส์แว่นตาไม่ได้ถูกตรวจวัดออกแบบให้เข้ากับสายตาที่แท้จริงของคนคนนั้นบนตำแหน่งการใช้งานจริงบนกรอบแว่นแต่ละอัน ซึ่งมันทำให้คนแต่ละคนพอใส่แว่นแล้วมันต้องฝืนปรับกล้ามเนื้อตาแต่ละข้าง เพื่อบังคับให้มันเข้าสู่จุดศูนย์กลางกำลังเลนส์ที่มันผิดพลาด กำลังเลนส์ที่มันคลาดเคลื่อน ตำแหน่งแว่นที่มันไม่ใช่ แล้วส่วนใหญ่แล้วถ้าเกิดทนใส่ไปประมาณ 2 - 3 เดือนจะสามารถปรับตัวได้ โดยราคาที่ต้องจ่ายก็คือสมองส่วนการมองเห็นที่ต้องไปทำงานด้านความคิดสร้างสรรค์ ต้องแบ่งมาเพื่อที่จะแบกรับภาระการพยายามปรับการมองเห็นให้เข้ากับแว่น ดังนั้นจะทำให้ประสิทธิ์ภาพการทำงานของสมองลดลงแต่ที่ไอซอพติก เราทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ก็คือเราพยายามที่จะตรวจวัด วิเคราะห์ ออกแบบ ผลิตเพื่อที่จะปรับแต่งทุกอย่างเข้าหาตัวผู้ใช้แต่ละคน เขาสามารถที่จะมองเห็นได้ชัดทุกระยะในเสี้ยววินาที อย่างเป็นธรรมชาติ สะดวกสบาย เหมือนว่าเขาไม่ได้ใส่แว่น เสมือนว่าแว่นตาเป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะ จนรู้สึกไม่ได้ใส่แว่นอยู่จนสามารถทำได้แบบนั้นครับ
ดร. อรรถวิท : ฟังแล้วน่าจะทำยากเหมือนกันนะครับ
ปรมาจารย์โบบิ : ไม่ยากธรรมดายากมาก ๆ ทุกวันนี้ไอซอพติก จึงต้องแข่งกับตัวเอง บางครั้งพอเราทำแว่นออกมาให้กับลูกค้าแต่ละท่าน แล้วเราทำออกมาได้สมบูรณ์แบบ เราต้องแข่งกับตัวเราเอง ตอนนี้เราไม่มีคู่แข่ง เพราะว่าเมื่อเราทำงานที่เป็นมาสเตอร์พีซออกมาสมบูรณ์ได้ชิ้นหนึ่ง ส่วนชิ้นที่สองที่เป็นแว่นลูกค้าสั่งซื้ออันที่ 2 3 4 ต้องทำให้สมบูรณ์ตามนั้น หรือต้องให้ดีกว่า บางทีพอเราทำจนมันสมบูรณ์แล้วเราก็หนักใจว่าเราจะทำให้มันดีกว่านี้ได้อีกไหมตรงนี้ยาก หรือแม้กระทั่งทำให้มันดีเท่าเดิมเป๊ะ ๆ เพราะว่าลูกค้าที่นี่เขาไม่ได้ซื้อแว่นแค่อันเดียว บางคนซื้อ 2 อัน 4 อัน 10 อัน แล้วก็ใส่สลับ ทำยังไงที่แว่นทุกอันพอถอดอันหนึ่งใส่อีกอันหนึ่ง เขาต้องรู้สึกว่าเขาไม่ต้องปรับตัว ใส่ปุ้บเขาลืมตาแล้ว Enjoy Life ใช้ชีวิตอย่างสบาย ใส่แล้วรู้สึกชีวิตนี้มีความสุขโลกนี้มันน่าอยู่สดใสไปหมดครับ นี่คือคอนเซ็ปต์