ความฝันของผมตั้งแต่วัยเด็กที่จะทำแว่นให้ดีที่สุดในโลก ในวันนี้ผมทำได้แล้ว ขาดแต่ว่าทำอย่างไรให้คนทั้งโลกได้ใส่แว่นที่ผมทำให้
เมื่อก่อนแว่นโปรเกรสซีฟ 100 คู่ ใส่ได้ 20 คู่ 80 คู่ ใส่ไม่ได้เลย มันเกิดอะไรขึ้นผมก็สงสัย ผมเลยศึกษาค้นคว้าและพัฒนาว่ามันเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายแล้วผมพบว่า
- การตรวจวัดผิดพลาด
- ตำแหน่งผิดพลาด
- โครงสร้างเลนส์ผิดพลาด
- คุณภาพเลนส์ไม่ดี
ถ้าแก้ 4 อย่างนี้ได้ เราก็ทำได้ ผมได้คุยกับบริษัทผู้ผลิตเลนส์ แล้วสร้างชุดทดลองเลนส์ขึ้นมาเป็นชุดจำลอง ทำให้ลูกค้าแต่ละคนสามารถที่จะเลือกโครงสร้างเลนส์ที่เหมาะกับตาเขามากที่สุด เหมาะกับค่าใช้จ่ายเขามากที่สุด ปรากฎว่า ผมสามารถเปลี่ยนจากล้มเหลว 80% เป็นประสบความสำเร็จ 98% และพัฒนาเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ในที่สุด
ไอซอพติก เราสร้างแว่นตาเพื่อให้ลูกค้าใช้ชีวิตได้อย่างสนุกที่สุด มีพลังมากที่สุด เหนื่อยน้อยที่สุด ทำงานได้มากที่สุด ดีที่สุดในทุกๆ ด้าน ต้องเข้าใจก่อนว่าอะไรคือ ดีที่สุด สำหรับไอซอพติก หรือตัวผมเอง ดีที่สุดของวันนี้คือ เป็นดีที่สุดซึ่งต้องทำให้ดีขึ้นในวันรุ่งขึ้น เพราะว่ามันมีสิ่งที่ดีกว่าเข้ามาแทนที่ ดังนั้นปรัชญาการทำงานของไอซอพติกคือ ประชุมพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทั้งองค์กร ทั้งทีมงาน เรามุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ ทำให้ดีขึ้นทุกวัน ทำให้ดีที่สุด แล้วพรุ่งนี้ก็ทำให้ดีขึ้น
ศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก เราสร้างแว่นตาเพื่อให้ทุกคนสามารถที่จะมีการมองเห็นที่ดีที่สุดเท่าที่สภาพตาของเขาจะเป็นไปได้ เท่าที่เทคโนโลยีในปัจจุบันจะเป็นไปได้
คำว่า คุณภาพการมองเห็นในระดับสูงสุด คือคุณภาพการมองเห็นที่ภาพชัดเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยสมองไม่ต้องฝืนเพ่งเมื่อเรามองภาพตกไปถึงจอประสาทตา ถ้าภาพไม่ชัดสมองจะทำการเพ่ง มีการกดรูม่านตาให้แคบลง แล้วเพิ่มความโค้งของเลนส์แก้วตา เพื่อให้แสงตกพอดีจอประสาทตาหรือใกล้เคียงมากที่สุด ถ้าเกิดภาพที่รวมแล้วยังไม่ชัด สมองพยายามที่จะปรับให้ชัดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ไอซอพติกแก้ปัญหานี้ โดยการสร้างแว่นเฉพาะบุคคล ตรวจวัดออกแบบสร้างขึ้นมาตามค่าสายตาที่แท้จริงของตาแต่ละข้างและการทำงานร่วมกันของตาสองข้างในระบบดิจิตอล 3 มิติ แก้ไขภาวะตาเขซ่อนเร้นไม่ต้องฝืนเพ่งก็สามารถรวมภาพได้อย่างสบาย ใส่แล้วไม่ล้า ไม่ปวด โฟกัสภาพได้เร็ว กะระยะได้แม่นยำ รู้สึกสบายเป็นธรรมชาติ และก็ไม่ต้องฝืนเพ่งเหมือนกับแว่นตาทั่วไป สามารถที่จะทำกิจกรรมได้ทุกอย่าง โดยลืมไปเลยว่าใส่แว่นอยู่
แว่นโปรเกรสซีฟจะมีตัวทดกำลังเลนส์ ทำให้เราไม่ต้องฝืนเพ่งมากเกินไป เราเลือกได้ว่าเราจะเพ่งมากเพ่งน้อย หรือ เราไม่อยากเพ่ง ซึ่งกำลังเลนส์การเปลี่ยนแปลงหรือที่เราเรียกว่า ค่าสายตายาวระยะใกล้ หรือ ค่า Add เราสามารถเลือกได้ตั้งแต่สเต็ปละ 1 ไม่ใช่ 25 ไม่ใช่ 50 ไม่ใช่ 75 ทำให้เรามองได้ทุกระยะอย่างสบายขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ทำให้เราไม่เหนื่อยล้า แม้ต้องทำงานตลอดทั้งวันกับคอมพิวเตอร์ หรือ เอกสารจำนวนมาก นี่คือแว่นในอุดมคติ
สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบคือเวลาเราใช้สายตาบนจอคอมพิวเตอร์ จอมือถือ ตาของเราจะต้องทำงานหนักกว่า ใช้สายตาบนกระดาษประมาณ 10 เท่า เนื่องจากว่า บนจอมือถือจะมี reflect rate คือการกระพริบของจออยู่ตลอดเวลาจอจะเต้นอยู่ตลอดเวลาที่เราเห็นว่ามันไม่เต้นเวลามองปกติผ่านจอ เพราะมันเป็นภาพที่ผ่านการปรับของสมองแล้ว ซึ่งจะทำให้สมองทำงานมากขึ้นกว่าปกติ และทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง
คนจำนวนมากที่ใช้สายตาด้วยแล้วต้องใช้สมองไปด้วย กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ถ้าเกิดคุณภาพการมองเห็นไม่ดีพอจะทำให้เกิดอาการล้าและเหนื่อย แล้วก็ทำงานได้ช้าลงแต่เหนื่อยมากขึ้น ถ้าเราสามารถแก้ที่คุณภาพการมองเห็นได้ก็จะทำงานได้มากขึ้นแต่เหนื่อยน้อยลง สมองทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น
จุดเริ่มต้นของการที่เราจะเป็นผู้นำของการสร้างแว่นคือเราต้องมีความมุ่งมั่นที่จะทำแว่นให้ดีที่สุดในโลก ซึ่งพระเจ้าอวยพรผมตรงที่ว่าตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ผมมีความฝันว่าอยากจะทำแว่นให้ดีที่สุดในโลก ฝันเห็นคนทั้งโลกเดินทางโดยเครื่องบินมาทำแว่นกับผม ลองนึกสภาพดูว่าเด็กอายุ 7 ขวบคิดอยู่เรื่องเดียวคือ ทำแว่นให้ดีที่สุดในโลก ตั้งแต่นั้นมาก็ฝึกเรียนค้นคว้าพัฒนาทำแว่นอย่างไรให้ดีที่สุดในโลก ซึ่งตอนนั้นคุณพ่อผมเปิดร้านแว่นอยู่แล้ว ผมก็เรียนจากคุณพ่อได้เลยนะครับ ซึ่งใช้เวลาหลายสิบปีค้นคว้าและพัฒนา จนสามารถทำแว่นโปรเกรสซีฟได้ประสบความสำเร็จ ตลาดทั่วโลกเวลาเขาซื้อ ขายอะไรกันส่วนใหญ่จะซื้อรุ่นกลาง ๆ แม้กระทั่งรถยนต์หรือนาฬิกาก็จะซื้อรุ่นกลาง ๆ รุ่นท็อปไม่มีใครแตะ แต่ของผมคือ ขายรุ่นท็อปมากที่สุดขายจนบริษัทผู้ผลิตเลนส์ไม่มีเลนส์จะให้ขายก็ต้องมาดูงานว่าขายไปได้อย่างไร ถามว่าเยอะขนาดไหนเยอะขนาดว่าอยู่เมืองไทยผมทำคนเดียวยอดขายมากกว่าทั้งประเทศรวมกัน
การที่ผมเป็นผู้นำในการพัฒนาเลนส์แว่นตาโปรเกรสซีฟคุณภาพสูงสุดในโลกนี้ ความแตกต่างของผมคือ ผมมีความเชื่อว่าลูกค้าผมมีปัญญาจะจ่าย แล้วก็ผมมีความเชื่อว่าเลนส์มันสามารถพัฒนาต่อไปได้ โดยเฉพาะเลนส์แว่นตาโปรเกรสซีฟ ถ้าคุณภาพดีจริงเท่าไหร่ก็ขายได้อย่าว่าแต่ 5 แสนบาท คู่ละล้านก็ได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้ความต้องการเขายังเหนือกว่าเทคโนโลยีที่รองรับได้ในปัจจุบัน ซึ่งต้องใช้เวลาพัฒนาอีกประมาณ 3-5 ปี
ต้องขอบคุณลูกค้าทุกท่าน ที่เรามีลูกค้าของไอซอพติก ที่เขาเห็นประโยชน์ของการที่ว่า เขาซื้อเลนส์คู่ละแสน สองแสน สามแสน สี่แสนบาท แล้วคุณภาพการมองเห็นเขาดีขึ้น คุณภาพชีวิตเขาดีขึ้น เขารู้ว่าเขาได้อะไร ดังนั้นคนเหล่านี้จึงมีความกระตือรือร้นที่จะมาซื้อเลนส์รุ่นที่ดีกว่าเสมอ การที่เราจะสร้างแว่นที่ตอบโจทย์ให้กับคนที่มีพฤติกรรมการใช้สายตาหลากหลายคือเราต้องเอาพฤติกรรมทั้งหมดของเขามาวิเคราะห์ทั้งหมด แล้วก็สร้างเลนส์ขึ้นมาตามทิศทางการมองของคนแต่ละคนว่า แต่ละคนก็ก้มหน้า บางคนเงยหน้า บางคนเอียงคอ ปัจจัยเหล่านี้ต้องมาคำนวณหมด แล้วก็คำนวณเรื่องของการกลอกตาของตาสองข้าง ของตาขวา ซ้าย ทุกตำแหน่งหนึ่งส่วนล้านจุดของการกลอกตาสองข้าง ต้องเอามาคำนวณหมดค่าพารามิเตอร์ต่างๆ ที่ใช้ โดยเฉลี่ยจะใช้ทั้งหมดทั้งหมด 100 ชุด ซึ่งแต่ละชุดเมื่อคำนวณแล้วจะมีความเป็นไปได้ประมาณหนึ่งส่วนล้านล้านค่า ซึ่งในการผลิตจริงเราจะต้องใช้ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ประเทศเยอรมนี เป็นตัวคำนวณ การเอาค่าเหล่านี้มาคำนวณถ้าเราทำได้สำเร็จเราก็จะสามารถสร้างแว่นตาที่ดีที่สุด สำหรับคนแต่ละคน ซึ่งความยากเหล่านี้ทำให้เราต้องใช้เวลาถึง 2 เดือนในการสร้างเลนส์แต่ละคู่
ไอซอพติกสามารถสร้างแว่นโปรเกรสซีฟระดับสุดยอดให้ใช้อันเดียว แล้วสามารถที่จะจบในอันเดียวคือ สามารถที่จะใช้ทำทุกอย่างได้โดยไม่ต้องถอดแว่นเปลี่ยนไปมา
สำหรับคนที่ต้องการจะพลิกโลกเปลี่ยนโลกมีแนวคิดใหม่ๆ แว่นไอซอพติกสามารถที่จะเพิ่มพลังสมองของท่านให้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้ท่านมีพลังเพิ่มขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ในการนำส่งนวัตกรรมที่ท่านคิดค้นขึ้นมา ไปสู่ระดับโลก แล้วทำให้คนทั้งโลกได้ประโยชน์ ผมแนะนำให้ทำนัดเข้ามาทดลอง เข้ามาวิเคราะห์ระบบการมองเห็น ทดลองเลนส์ แล้วลองด้วยตัวท่านเองว่า เทคโนโลยีใหม่ของไอซอพติกช่วยชีวิตของท่านดีขึ้นได้อย่างไร เราเห็นว่าดีแต่ต้องลอง ผมแนะนำให้มาลองเองที่ไอซอพติก
ผมจะพิสูจน์ให้โลกรู้ว่า คนไทย สร้างแว่นเฉพาะบุคคลได้ดีที่สุดในโลก