ส่วนใหญ่คนที่มีปัญหาทางด้านสายตามักจะไม่ค่อยยอมใส่แว่น จะพยายามยื้อเวลาการใส่แว่นออกไปให้นานที่สุด อดทนจนถึงที่สุดแล้วไม่ไหวจริงๆ ถึงจะยอมใส่แว่น
ปกติในคนที่มีปัญหาทางด้านสายตา มีปัญหาเรื่องของการมองเห็น ซึ่งปัญหาเรื่องการมองเห็นหลักๆ จะมี 2 ระบบ คือ
1. แสงตกไม่พอดีจอประสาทตา
2. แสงอาจจะตกพอดีจอประสาทตา หรือ อาจจะตกไม่พอดี และมีปัญหาเรื่องของตำแหน่งภาพคือ ตำแหน่งภาพของตาแต่ละข้างอยู่คนละตำแหน่ง แล้วระบบการมองเห็น กล้ามเนื้อตา กล้ามเนื้อที่ควบคุมการกรอกตาไม่สามารถที่จะควบคุมให้ลูกตาทั้งสองข้างมองเห็นภาพที่ตำแหน่งเดียวกันได้ สมองส่วนที่ควบคุมการมองเห็นด้านการรวมภาพจึงพยายามที่จะรวมภาพที่อยู่คนละตำแหน่งให้เคลื่อนเข้าหากัน และอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน เพื่อจะรวมภาพจากตาทั้งสองข้างให้เกิดขึ้นมาเป็นภาพ 3 มิติ ซึ่งก็จะมี 2 กลุ่ม
1. กลุ่มที่สามารถรวมได้
2. กลุ่มที่ไม่สามารถรวมได้
ในกลุ่มที่สามารถรวมได้ เราจะแบ่งออกเป็นกลุ่มที่สามารถที่จะรวมได้เป็นเวลา 1 ชั่วโมง แล้วแยกออก บางคนอาจจะรวมได้หลายชั่วโมง แล้วก็แยกออก บางคนอาจจะรวมได้เป็นวันหรืออาจจะหลายวัน แล้วถ้าเกิดพักผ่อนน้อยก็จะแยกออก ซึ่งความสามารถในการรวมภาพของแต่ละคนจะกินความสามารถของสมองไม่เท่ากัน แต่ที่แน่ๆ คือ ใช้พลังสมองแน่ๆ
แนวคิดของการแก้ไขการบริหารจัดการเรื่องของการรวมภาพมี 2 แนวคิด
1. มุ่งเน้นเรื่องของการผ่าตัดกล้ามเนื้อตา บริหารจัดการโดยจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็ก และตาเข
2. มุ่งเน้นในการฝึกกล้ามเนื้อตา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกเองที่บ้านหรือการฝึกด้วยเครื่องฝึกกล้ามเนื้อตาที่โรงพยาบาล รวมถึงในบางกรณีอาจจะมีการพิจารณาใช้ยาบางชนิดในการทำให้รวมภาพได้ดีขึ้น ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การดูแลของจักษุแพทย์
หลักการส่วนใหญ่ของจักษุแพทย์ หรือผู้เชี่ยววชาญด้านสายตาจากทั่วโลก หรือนักฝึกกล้ามเนื้อตา ใน 3 วิชาชีพนี้ เขาจะมีหลักคิดอที่เหมือนกันคือ หลักคิดว่าการฝึกกล้ามเนื้อตาคือวิธีที่ดีที่สุด ถ้าฝึกกล้ามเนื้อตาแล้วไม่หายก็จะพิจารณาเรื่องของการผ่าตัดกล้ามเนื้อตา ด้วยหลักคิดว่าถ้าเห็นภาพซ้อน ปวดหัว ภาพพร่ามัว เมื่อฝึกกล้ามเนื้อตาแล้ว ภาพซ้อนน้อยลง มองเห็นได้ดีขึ้น อาการปวดหัวลดลง ก็ถือว่าพิจารณาให้ฝึกกล้ามเนื้อตาต่อไป เป็นแนวคิดที่เน้นให้สมองส่วนควบคุมการมองเห็น และสมองส่วนที่ควบคุมการเพ่ง และระบบการเพ่งทั้งระบบทำงานเต็มกำลัง เอาชนะความผิดปกติของการรวมภาพที่เราเรียกว่า ตาเขซ่อนเร้น โดยเน้นการออกกำลังกาย
หลักคิดของไอซอพติก พวกเราคิดในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคนทั่วโลกคิต เราถือว่าเราจะไม่ยอมปล่อยให้สมองฝืนเพ่ง แต่เราจะไม่ยอมให้ต้องใช้สมองฝืนเพ่ง เราจะไม่ยอมให้ลูกค้าของเราต้องเอาสมองไปทำงานแทนแว่น แต่เราจะสร้างแว่นตาที่ดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้าของเรามองเห็นได้อย่างสบายที่สุด โดยเพ่งน้อยที่สุด อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด รวมภาพได้สมบูรณ์ที่สุดในทุกระยะ เพื่อสมองจะมีพลังไปทำเรื่องอื่น เรากำลังคุยเรื่องของแนวคิดที่ทำให้สมองว่างงาน
ปรัญญาการทำแว่นของไอซอพติกคือ เราทำแว่นให้ผู้คนใส่แล้วมีพลังแห่งวัยหนุ่มสาวมากขึ้น มีพลังสมองเพิ่มขึ้น ใส่แล้วฉลาดขึ้นด้วยการทำแว่นที่ลดภาระเรื่องการมองเห็น แว่นที่เอาชนะเรื่องสายตาสั้น ยาว เอียง แว่นที่เอาชนะเรื่องของการรวมภาพ เอาชนะตาเขซ่อนเร้น ทำให้เกิดปรากฏการณ์ชัดทุกระยะในเสี้ยววินาที เป็นแว่นที่ป้องกันสายตาสั้นเทียม เป็นแว่นที่ดูแลบุตรหลานของท่านไม่ให้สายตาสั้นเพิ่มขึ้นมากเกินไป
คนที่มีคุณภาพการมองเห็นผิดปกติที่ไม่ได้รับการแก้ไข สมองส่วนควบคุมการมองเห็นก็จะพยายามฝืนเพ่งเพื่อให้มองเห็นชัดขึ้น เมื่อพยายามฝืนเพ่งติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองส่วนอื่นลดลง จากการค้นคว้าวิจัยของผมร่วมกับจักษุแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาจากทั่วโลก เราพบความจริงอย่างหนึ่งว่า ระบบการมองเห็นของมนุษย์มีความสัมพันธ์กับสมองหลายส่วน อธิบายง่ายๆก็คือว่า เมื่อเราใช้สมองฝืนเพ่งเพื่อการมองเห็นให้เห็นชัดติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกินไป หรือ ใช้ความพยายามในการฝืนเอาชนะความผิดปกติทางด้านสายตาติดต่อกันนานเกินไป ก็จะมีผลกระทบต่อการทำงานของสมองหลายส่วน และหนึ่งในนั้นคือ สมองส่วนที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะในร่างกาย
เมื่อสมองส่วนที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะในร่างกายทำงานผิดปกติ จะเกิดอาการคล้ายๆ กับป่วยเป็นโรคต่างๆ มีอาการปวดกระบอกตา ปวดหน้าผาก ปวดศีรษะ ปวดขมับลงท้ายทอย ปวดบ่า ปวดไหล่ บางรายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน บางรายถึงขั้นเป็นภูมิแพ้ที่หาสาเหตุไม่ได้ เหล่านี้เป็นสิ่งที่เคยพบว่าเกิดขึ้นกับผู้มีปัญหาทางสายตาที่ไม่ได้รับการแก้ไข และจำนวนคนที่มีอาการดังกล่าวอยู่ในระดับหลักล้านคน และที่สำคัญที่สุดคือ คนเหล่านี้มีอาการเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อเขาได้รับการแก้ไขด้วยการทำแว่นที่ใช้งานได้ตามมาตรฐาน แล้วอาการที่ว่ามาทั้งหมดหายเกือบทั้งหมด ดังนั้นสิ่งที่ผมบอกพวกเราคือ เวลามีอาการปวดตา ปวดศีรษะ ปวดขมับ ปวดท้ายทอย ปวดกลางกระหม่อม อาจจะมีอาการปวดบ่า ปวดไหล่ การวินิจฉัยโดยแพทย์ทั่วไปเป็นเรื่องจำเป็น แต่อย่าลืมการวิเคราะห์สุขภาพตา ค่าสายตาโดยจักษุแพทย์ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นไม่ด้อยไปกว่ากัน
คนเราควรจะตรวจกับจักษุแพทย์อย่างน้อย 1 ครั้ง แต่ถ้าเป็นไปได้ในวัย 40 ปีขึ้นไป ควรพบจักษุแพทย์ปีละครั้ง ดังนั้นในเวลาที่เรามีอาการปวดอะไรก็แล้วแต่ ถ้าปวดในกรณีที่ผมบอกไปแล้วคือ ปวดกระบอกตา ปวดหว่างคิ้ว ปวดหน้าผาก ปวดกลางกระหม่อม ปวดขมับ ปวดท้ายทอย ปวดลงบ่า อาการเหล่านี้ผมแนะนำว่าให้พบจักษุแพทย์ ซึ่งศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติกจะมีจักษุแพทย์ประจำวันอังคารถึงวันเสาร์
การปวดที่เกิดจากอาการทางสายตา จากประสบการณ์ของผมคือ มีอยู่ใน 2 กลุ่มหลักๆ คือ
1. กลุ่มที่มีอาการสายตายาวระยะไกล ในกลุ่มนี้เขาจะมัวทุกระยะ คนที่เป็นสายตายาวระยะไกลเขาจะเห็นภาพมัวในทุกระยะ ยิ่งใกล้ก็ยิ่งมัว ในกลุ่มนี้น่าสงสารที่สุด ปัญหาของสายตายาวระยะไกลคือ ในเด็กวัยรุ่นที่อายุยังไม่มาก พวกเขามีความสามารถในการเพ่ง ในการใช้สมองฝืนเพ่งเพื่อเอาชนะค่าสายตายาวระยะไกลหรือระยะใกล้ พวกเขาเพ่งได้ถึง 200 หรือ 2 ไดออปเตอร์ +2 ดังนั้นคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เวลาไปตรวจตามคลินิกทั่วไปที่ไม่มีระบบคัดกรอง เขาจะตรวจไม่เจอว่าเด็กคนนี้มีอาการสายตายาวระยะไกล หนึ่งในสองทางที่จะตรวจเด็กเหล่านี้คือ จะต้องใช้วิธีหยอดยาขยายม่านตา ซึ่งต้องทำในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เมื่อหยอดแล้วเลนส์ตาคลายตัว คุณหมอก็จะตรวจเจอค่าสายตาจริง
เกิดอะไรขึ้นกับคนที่มีสายตายาวระยะไกลแล้วไปเพ่งอย่างสุดกำลังทำให้มองเห็นได้ชัด เมื่อเพ่งแล้วเห็นได้ชัดเขาก็จะเพ่งค้างไว้อยู่อย่างนั้น
เมื่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง 90% หมดไปกับการเพ่ง ทำให้เหลือแค่ 10% ในการคิด การอ่าน การคำนวณ การควบคุมอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ถ้าเราไห้เด็กคนหนึ่งใช้ 90% ของพลังสมองไปกับการมองเห็นโดยไม่ต้องใส่แว่น แล้วก็เหลือสมองอีกแค่ 10% ในการทำงานทุกอย่างติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จะทำให้
1. ผลการเรียนของเขาจะแย่กว่าที่ควรจะเป็น 10 เท่า
2. สุขภาพของเขาจะแย่ลงกว่าที่ควรจะเป็น 10 เท่า
3. เขามีพลังวัยหนุ่มสาวลดลงกว่าที่ควรจะเป็น 10 เท่า
ดังนั้นในกลุ่มที่เป็นสายตายาวระยะไกล เป็นกลุ่มที่ผมใช้คำว่าน่าสงสารที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเขาไปพบกับผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาที่มีเป้าหมายการทำงานว่า การทำให้คนไข้ที่มีปัญหาทางด้านสายตาไม่ต้องใส่แว่น ใช้วิธีฝึกกล้ามเนื้อตาหรือใช้วิธีเพ่ง ถือว่าเขาประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในวิชาชีพ โดยไม่สนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับประสิทธิภาพการทำงานของสมองที่หายไป เด็กคนนี้จะน่าสงสารที่สุด เขาจะใช้ชีวิตได้แค่ 10% ของที่เขาควรจะเป็น