เมื่อเราอายุเกิน 25 ปี พลังของเราจะลดลง เรี่ยวแรงจะถดถอย จะเรียกว่าวัยฉกรรจ์ ( วัยฉกรรจ์ เป็นวัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลกำลัง ) เวลาเราอายุเกิน 25 ปี เราจะช้าลง ในกลุ่มที่ไม่มีปัญหาทางสายตาเลย ไม่มีสายตายาว ไม่มีสายตาเอียงไม่ว่าจะเป็นระยะไกลหรือระยะใกล้ ไม่มีตาเขซ่อนเร้น ความสามารถในการเพ่งดีเยี่ยม ถ้าคนเหล่านี้มีอาชีพทำไร่ไถนา หรือมีอาชีพเป็นนักกีฬา หรือมีอาชีพที่ใช้สายตาน้อยใช้แรงมาก ความจำเป็นที่จะต้องเพ่งมองในระยะใกล้ ระยะกลางน้อย ใช้สายตาน้อย อ่านหนังสือน้อย ในคนกลุ่มนี้เขาจะไม่ค่อยมีปัญหา จะไม่มีอาการสายตาสั้นเทียม ไม่มีอาการปวดตา ปวดหัว ปวดขมับ ปวดท้ายทอย ปวดบ่า ปวดไหล่ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดไมเกรน คนกลุ่มนี้จะไม่ค่อยมีปัญหา ซึ่งในกลุ่มนี้อาจจะมีปัญหาทางสายตาเมื่อถึงวัยประมาณ 40 ปี
แต่อีกกลุ่มหนึ่ง ในกลุ่มนี้ต่อให้เป็นเด็กที่มีพลกำลังเหลือเฟือ แต่ใช้คอมพิวเตอร์เยอะ ใช้มือถือเยอะ อ่านหนังสือเยอะ เล่นเกมเยอะ ในกลุ่มที่ใช้สายตาอย่างหนักแบบนี้จะมีปัญหาคือ เด็กที่สายตาเคยปกติก็กลายเป็นสายตาสั้น ในตำราวิชาการที่ถูกเขียนโดยจักษุแพทย์หลายท่านจะเรียกว่าเป็น สายตาสั้นโรงเรียน ซึ่งเป็นคำเรียกเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว สมัยนี้อาจจะเรียกกันว่า สายตาสั้นมือถือ หรือ สายตาสั้นคอมพิวเตอร์ ส่วนตัวผมจะเรียกตามอาจารย์หมอศิริราชที่เป็นจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็ก และตาเข ก็จะเรียกตามท่านว่าเป็น สายตาสั้นเทียม
สายตาสั้นเทียม เกิดจากการเพ่งมองจอคอมพิวเตอร์ หรือหนังหนังสือในระยะใกล้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ แล้วก็ทำให้ระบบการเพ่งของเรามีการหด เกร็ง ค้าง ไม่คลายตัวกลับเข้าสู่ตำแหน่งที่ควรจะเป็น เมื่อมีการหด เกร็ง ค้างของระบบการมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้ามเนื้อที่ควบคุมความโค้งของเลนส์แก้วตาไม่ยอมคลายตัวกลับตำแหน่งมองไกลในตำแหน่งปกติ เมื่อเลนส์ค้างในตำแหน่งมองใกล้ พอมองไกลก็จะเกิดอาการพร่ามัว แล้วก็จะมีอาการคล้ายหรือเหมือนสายตาสั้น และเมื่อมีการวัดสายตาโดยคนไม่ชำนาญ คนที่ขาดความรู้ ก็จะตรวจพบว่าสายตาสั้น
ซึ่งอาการของสายตาสั้นเทียม ปริมาณของสายตาสั้นเทียมค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 200 ถ้าเราไปทำแว่นให้กับคนที่มีอาการสายตาสั้นเทียมใส่ ไม่ว่าเราจะให้เลนส์เขาเป็น -100 หรือ -200 เราจะไปกระตุ้นให้เลนส์แก้วตาที่กำลังเกร็งตัว ค้าง และกำลังจะคลายกลับสู่ตำแหน่งปกติ ซึ่งจะทำให้ไม่มีค่าสายตาสั้นเทียม แต่พอเราไปกระตุ้นเขาด้วยเลนส์สายตาสั้นก็จะทำให้เลนส์แก้วตาที่กำลังคลายตัวกลับสู่ตำแหน่งปกติไม่คลายตัว กลายเป็นค้าง เป็นสายตาสั้น และเป็นสายตาสั้นที่ก่อให้เกิดอาการปวดหัว อาการปวดตา อาการปวดขมับ ปวดท้ายทอย ปวดบ่า ปวดไหล่ได้ เพราะถ้าเป็นตำแหน่งที่บังคับให้ระบบการมองเห็น ระบบการเพ่ง มีการเกร็งค้างอยู่ตลอดเวลา ไม่คลายตัว ที่สำคัญคือ ในการตรวจวัดสายตาด้วยเทคโนโลยีของร้านแว่นทั่วไปในปัจจุบัน อยู่บนพื้นฐานของวิชาการร้อยกว่าปีที่แล้ว ซึ่งไม่มีระบบการตรวจจับ ไม่มีระบบการคัดแยก ไม่สามารถที่จะแยกแยะสายตาสั้นเทียมออกจากสายตาสั้นแท้ได้ แต่ที่ศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติกเราทำได้ เพราะเรามีจักษุแพทย์
ปกติการแยกแยะสายตาสั้นเทียมที่ได้ผลดีที่สุดคือ ทางศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติกจะต้องทำการส่งต่อไปที่โรงพยาบาล เพื่อจะให้จักษุแพทย์เป็นผู้ทำการวินิจฉัยเพื่อหยอดยาขยายม่านตา เพื่อจะทำให้เลนส์แก้วตากลับสู่ภาวะปกติก่อนแล้วค่อยตรวจ นั่นคือเมื่อเราตรวจพบว่าเป็นสายตาสั้นเทียม ดังนั้นมาตรฐานการปฏิบัติของศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติกเราจะทำการตรวจวิเคราะห์ คัดแยกหาสายตาสั้นเทียม เมื่อตรวจพบก็จะทำการแยกออก แล้วทำการส่งต่อไปที่โรงพยาบาล ให้จักษุแพทย์เป็นผู้ขยายม่านตา แล้วทำการตรวจหาค่าสายตาที่แท้จริง หลังจากนั้นเราจึงลงทุนสร้างเลนส์ป้องกันสายตาสั้นเทียม
ผมได้ศึกษาเรื่องเลนส์ป้องกันสายตาสั้นเทียม และทำการศึกษาร่วมกันกับผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาจากทั่วโลก ค้นคว้า วิจัย พัฒนาเรื่องของการแก้ไขสายตาสั้นเทียมเป็นเวลา 30 ปี แล้วเราพบว่า ทางที่ดีที่สุดในการป้องกันสายตาสั้นเทียมคือ การใช้เลนส์ที่มีหลายกำลัง ซึ่งเป็นเลนส์ที่ถูกออกแบบ สร้างขึ้นมาเฉพาะสำหรับเด็กที่มีอาการสายตาสั้นเทียม นี่เป็นผลงานวิจัย ค้นคว้า พัฒนา
ในระยะแรกปัญหาคือ เมื่อ 30 ปีที่แล้ว มีผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาน้อยมากที่มีความรู้เรื่องของสายตาสั้นเทียม และมีผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาน้อยมากที่มีความรู้เรื่องของการทำแว่นตาที่ป้องกัน ควบคุมสายตาสั้นเทียม ดังนั้นเหนื่อยมากในการให้ความรู้กับคนเหล่านี้ ซึ่งคนเหล่านี้จะมี 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มที่อยากรู้ เขาก็จะมาถามผมว่า ทำไมต้องใช้เลนส์พิเศษสำหรับกลุ่มสายตาสั้นเทียม หรือจะตรวจสายตาสั้นเทียมได้ยังไง ซึ่งในกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ดี สร้างสรรค์ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มนี้ก็ได้ดิบได้ดีกับความรู้ที่ได้รับจากผม
2. กลุ่มที่ยึดติดกับความรู้ที่เขามี แล้วเขาก็จะปฏิเสธความรู้ใหม่ๆ เพื่อที่จะไม่ยอมรับว่าเขาไม่รู้ ซึ่งในกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เราเรียกว่า มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ซึ่งในกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่คอยบ่อนทำลายกำลังใจ เป็นกลุ่มที่คอยปล่อยข่าว
มี 3 ทางที่เราจะสูงกว่าคนอื่น
ทางแรก เป็นทางที่ตลอดระยะเวลาในประวัติศาสตร์ของเราหลายพันปี มีคนจำนวนมากที่เลือกเดินทางนี้ และอย่าเดินทางนี้คือ ในกลุ่มที่เค้าอยากสูงกว่าคนอื่น แต่เขาอยู่ต่ำกว่าคนจํานวนหนึ่ง เขาก็ใช้วิธีที่ทำให้คนอื่นต่ำลง เพื่อตัวเองจะได้สูงกว่า ดังนั้นวิธีแลกอย่าได้ทำเป็นอันขาด เพราะว่ามันเป็นหนทางไปสู่การถูกทำลาย ทำลายทั้งตัวเอง ทำลายทั้งวงการที่เราอยู่ ทำลายทั้งประเทศชาติที่เราอยู่ และทำลายโลกที่เราอยู่
ทางที่ 2 คือการถีบตัวเอง พัฒนาตัวเอง ปีนป่าย ไต่เต้าขึ้นไปให้สูงขึ้น สูงกว่าคนอื่น โดยไม่ไปยุ่งกับใคร เราทำของเราให้ดีหรือดีที่สุด
ทางที่ 3 เขาเรียกว่าพวกยอดมนุษย์ พวกยอดมนุษย์เขาจะไม่ใช่แค่ว่าปีนขึ้นไปข้างบนได้แล้วก็จบ แต่เขาจะมองลงมาข้างล่างแล้วเขาก็จะดูว่า เขาจะดึงใครที่อยู่ข้างล่างต่ำกว่าเขา แล้วก็ดึงขึ้นมาเพื่อจะได้สูงขึ้น
แว่นตาไอซอพติกเป็นแว่นเพิ่มพลังให้กับผู้ใช้ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม ด้วยหลักการทำงานง่ายๆ คือ เลนส์แว่นตาของไอซอพติกจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจะให้มีคุณภาพการมองเห็นที่ชัดทุกระยะในระดับสูงสุด โดยไม่ต้องฝืนเพ่ง ดังนั้นจึงเอามาใช้กับคนที่เป็นสายตาสั้นเทียมได้ คนที่มีอาการสายตายาวระยะใกล้ได้ คนที่ใช้คอมพิวเตอร์เยอะได้ คนที่ต้องการให้สมองส่วนการมองเห็นอยู่ในภาวะที่สบายที่สุด เพื่อที่จะมีพลังสมองไปทำเรื่องอื่นมากที่สุด