เรามองดูด้วยตาแต่มองเห็นด้วยสมอง และถ้าเกิดว่าเรามองเห็นไม่ชัดสมองส่วนที่ควบคุมการมองเห็นก็จะฝืนเพ่ง เมื่อสมองของเราจะต้องฝืนเพ่งเพื่อให้เห็นภาพชัด บางคนมีปัญหาเรื่องมองภาพไม่ชัด ไม่ว่าจะเป็นในระยะไกล หรือระยะกลาง หรือระยะใกล้ บางคนจะมีปัญหาเรื่องของภาพซ้อนที่เกิดจากตาแต่ละข้างเห็นภาพขนาดไม่เท่ากัน หรือ ตำแหน่งของตาแต่ละข้างไม่ตรงกัน ในคนกลุ่มนี้จะต้องใช้สมองผืนเพ่งอย่างสุดกำลัง เพื่อที่จะรวมภาพสองฝั่งที่อยู่คนละตำแหน่งให้รวมกันเป็นภาพเดียว ซึ่งกระบวนการมีตั้งแต่การควบคุมระบบกล้ามเนื้อตาทั้งสองข้าง เพื่อบังคับให้มีการปรับ ขยับตำแหน่งให้อยู่ในตำแหน่งที่ภาพใกล้เคียงกันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งนี่คือกระบวนการฝืนปรับตำแหน่ง
หลังจากได้ตำแหน่งภาพที่ห่างกันน้อยลง สมองส่วนที่ดูแลเรื่องการรวมภาพก็จะทำการรวมภาพเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งใช้วิธีการฝืนรวมภาพ ซึ่งต้องใช้พลังสมองในการฝืนรวมภาพอย่างสุดกำลัง เพื่อรวมภาพให้ได้ ซึ่งบางคนรวมได้ บางคนรวมไม่ได้ คนที่รวมได้ก็อาจจะรวมได้เป็นเวลาสั้นๆ บางคนก็อาจจะรวมได้เป็นระยะเวลายาวนานกว่า ความลับอยู่ตรงที่ว่า ความสามารถในการรวมภาพนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ถ้าร่างกายอยู่ในภาวะที่สดชื่น เช่น ช่วงเช้า การรวมภาพก็จะดีกว่า แต่ถ้าเกิดร่างกายอยู่ในภาวะที่เริ่มเหนื่อย เริ่มล้า ความสามารถในการรวมภาพนี้ก็จะน้อยลง และถ้าความสามารถในการรวมภาพน้อยลงจนถึงระดับที่ไม่สามารถรวมภาพได้อีกต่อไปก็จะเห็นภาพซ้อน คุณภาพการมองเห็นก็จะลดลง และอาจจะมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย
เกิดอะไรขึ้นเมื่อระบบการมองเห็นของเรามีปัญหาแล้วสมองส่วนที่ควบคุมการมองเห็นทำงานหนักเกินกำลังจนมีอาการปวด เห็นภาพไม่ชัด เห็นภาพซ้อน
จากการศึกษา ค้นคว้าของผม ทีมงานจักษุแพทย์ และด็อกเตอร์ทางด้านสายตาประจำศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปี และร่วมกับจักษุแพทย์ และผู้เชี่ยววชาญด้านสายตาจากทั่วโลก เราค้นพบว่า เมื่อสมองส่วนควบคุมการมองเห็นทำงานหนักเกินไปจนทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ มีความเป็นไปได้ที่สมองส่วนควบคุมการทำงานของอวัยวะในร่างกายทำงานผิดปกติ หรือทำงานได้แย่ลง หรือควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้แย่ลง ซึ่งจะทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติ
ถ้าเราแก้ปัญหาไม่ตรงจุด แล้วเราปล่อยให้สมองของเราทำงานด้านการมองเห็นมากเกินไปจนเกินกำลังก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายโดยองค์รวม
หลักการดูแลด้านสายตามี 2 แนวคิด คือ
1. แนวคิดที่ให้สมองส่วนที่ควบคุมการมองเห็นอยู่ในภาวะที่สบายที่สุด ผ่อนคลายที่สุด ซึ่งเป็นแนวคิดที่สุดโต่ง เป็นแนวคิดที่ใหม่ เป็นแนวคิดที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นแนวคิดที่ฉีกกฎทุกข้อของการตรวจวัดสายตาประกอบแว่น การแก้ปัญหาทางสายตา ซึ่งมีกันมายาวนานถึงร้อยกว่าปี
จนถึงทุกวันนี้ไอซอพติกเป็นที่เดียวที่เรามีหลักคิดแบบนี้ คือหลักคิดแบบการทำให้ลูกค้าของเราทุกคนมีความสบายมากที่สุด ไม่ต้องฝืนเพ่ง ไม่ต้องฝืนรวมภาพ โดยเราสร้างแว่นตาที่เข้ามาแบ่งเบาภาระเหล่านี้ทั้งหมด เข้ามาจัดการให้หมด เพื่อให้สมองว่างงาน
ข้อเสียของการที่เราทำให้สมองส่วนที่ควบคุมการมองเห็นว่างงานคืออะไร
ระบบการมองเห็นของมนุษย์มีความสลับซับซ้อนมากที่สุดระบบหนึ่ง ถ้าระบบการมองเห็นเรามีปัญหาก็จะกระทบระบบการทำงานของสมองเกือบจะทุกระบบ ประเด็นอยู่ตรงที่ไอซอพติกเราให้สมองส่วนการมองเห็นว่างงานมากที่สุด ไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องฝืนรวมภาพ ซึ่งตำราเมื่อร้อยกว่าปีก่อนเราเชื่อกันว่า การที่มนุษย์เพ่งเป็นเรื่องดี การที่มนุษย์ฝืนเพ่งเป็นเรื่องดี การที่มนุษย์ฝืนรวมภาพเป็นเรื่องดี การที่เราใช้สมองเพ่งจนสามารถที่จะพอมองเห็นได้โดยไม่ต้องใส่แว่นเป็นเรื่องดี เราเห็นภาพซ้อนเราฝึกกล้ามเนื้อตาจนภาพไม่ซ้อนเป็นเรื่องดี การใส่แว่นเป็นเรื่องไม่ดี ต้องทำทุกอย่างเพื่อจะได้ไม่ต้องใส่แว่น ดังนั้นศาสตร์เมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว เราจึงเชื่อว่าเราควรจะข่มขืนสมองส่วนการมองเห็นให้ทำงานด้านการมองเห็นแทนแว่นตา ทำให้คนเรามองเห็น ใครสามารถทำให้มนุษย์มองเห็นได้ชัดแม้จะมีปัญหาทางสายตา เห็นภาพซ้อน ปวดหัวคลื่นใส้ อาเจียน แล้วสามารถทำให้คนเหล่านี้เขาหายจากอาการดังกล่าว โดยไม่ต้องใส่แว่น ใช้วิธีฝึกกล้ามเนื้อตา เราเข้าใจว่า โอ้โห ผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาคนนี้เป็นซุปเปอร์แมน เป็นคนเก่ง สุดยอด ทำให้คนมีปัญหาทางสายตามองเห็นได้โดยไม่ต้องใส่แว่น เหมือนดีถูกไหมครับ แต่ถ้าผมบอกว่า การทำแบบนี้แลกมาด้วยความฉลาดที่ลดลงไปหลายเท่า การทำแบบนี้แลกด้วยสุขภาพที่แย่ลงหลายเท่า การทำแบบนี้แลกมาด้วยพลังงานที่ลดลงหลายเท่า ชีวิตที่ไร้พลัง ชีวิตที่แก่ก่อนวัย ชีวิตที่ไม่มีความสุข ชีวิตที่อ่อนแรง ชีวิตที่คิดอะไรไม่ออก ชีวิตที่ความฉลาดลดลง แต่ไม่ต้องใส่แว่น
ไอซอพติกเรายืนหยัดอยู่ข้างหน้าเพื่อเรามวลมนุษยชาติ เราเป็นที่เดียวที่ต่อสู้เพื่อความฉลาดของเหล่ามวลมนุษยชาติเ รามีวิธีการพัฒนาการตรวจวัดวิเคราะห์ระบบการมองเห็น เพื่อเพิ่มความฉลาดของมนุษย์ด้วยแว่นตาอัลตร้าเอ็กซ์ของไอซอพติก ฉีกกฎทุกข้อ ข้อจำกัดทุกแบบที่เคยมี บอกลาแว่นที่ต้องปรับตัว บอกลาเรื่องการฝืนเพ่ง บอกลาเรื่องของการฝืนรวมภาพ บอกลาเรื่องความจำกัดของการเดิน การใช้คอมพิวเตอร์ การถอดแว่นหลายอัน
ไอซอพติกเราสร้างแว่นโปรเกรสซีฟอัลตร้าเอ็กซ์ เพื่อที่จะเรียกได้ว่า ทะลุทะลวงขีดจํากัด ข้อจำกัดเดิมๆ ที่แว่นโปรเกรสซีฟในโลกนี้เคยมี ดังนั้นใครที่อยากจะมีชีวิตแบบไร้ขีดจำกัดไม่ว่าจะอายุ 40 ถึง 90 ปี สามารถทำนัดเข้ามาทดลองเลนส์อัลตร้าเอ็กซ์ โปรเกรสซีฟรุ่นเดียวในโลกที่ไม่ต้องปรับตัว เป็นแว่นโปรเกรสซีฟที่ใส่แล้วฉลาดขึ้น มีพลังเพิ่มขึ้น สุขภาพดีขึ้น
2. ใส่แล้วใช้ฉลาดน้อยลง เนื่องจากเป็นแว่นที่ใส่แล้วผู้ใช้ต้องปรับตัวเข้าหาแว่นอยู่ตลอดเวลา ตัวแว่นไม่ได้ออกแบบเฉพาะบุคคลอย่างยิ่งยวดเข้าหาผู้ใช้ ดังนั้นผู้ใช้จะต้องปรับตัวเข้าหาแว่น โดยหลักการพื้นฐานว่าแว่นตาเหล่านี้ตัวผู้ใช้แว่นจะต้องฝืนเพ่งอย่างสุดกำลังเพื่อที่จะมองเห็นให้ได้มากที่สุด แล้วตัวแว่นตาก็จะให้เท่าที่จำเป็น ภายใต้หลักการวัดตาแบบเก่า ถ้ามีภาพซ้อนก็ผืนเพ่งสุดกำลังเพื่อรวมภาพซ้อน ไม่มีการจ่ายเลนส์เคลื่อนย้ายภาพที่เป็นนาโนเทคโนโลยีเหมือนที่ไอซอพติก
ปรัชญาของไอซอพติกเราทำแว่นให้กับคนใส่ เราทำให้ใส่แล้วฉลาด และสบายตลอดวัน ให้เขาทำงานอย่างที่เขาอยากทำ ใช้ชีวิตอย่างที่เขาอยากเป็น ไม่ว่าเขาจะมีปัญหาทางสายตาหนักแค่ไหนก็ตาม อาจจะมีข้อจำกัดเรื่องของเทคโนโลยี เราก็ขอช่วยเขาเต็มที่เท่าที่เทคโนโลยีมี ซึ่งเราก็ขอบคุณพระเจ้าที่แว่นตาของไอซอพติกมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าร้านแว่นทั่วไป 30 ปี ดังนั้นหลักคิดจึงต่างกัน หลักคิดการทำแว่นของไอซอพติก เราต้องการทำแว่นเพื่อให้ลูกค้าของเราทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด ด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุด ด้วยแว่นตาที่ดีที่สุด สร้าง ผลิต ประกอบ วิเคราะห์ ตรวจวัดอย่างปราณีตที่สุด ด้วยการใส่ใจทำอย่างเต็มที่
คนที่อายุ 40 ถึง 60 ปี จะมีปัญหาทางสายตามาก ในกลุ่มนี้แว่นตาของไอซอพติกสามารถที่จะช่วยเพิ่มพลังสมองได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ และไม่ต้องปรับตัวเลย แว่นอันเดียวจบ โปรเกรสซีฟอัจฉริยะไอซอพติกเป็นรุ่นเดียวในโลก อันเดียวครบจบทุกอย่าง