ในแต่ละวัน ศูนย์แว่นตาไอซอพติกรองรับลูกค้าได้กี่คน แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

ในแต่ละวันศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติกรองรับลูกค้าที่เข้ามาทำแว่นได้ 8 คนต่อวัน โดยไอซอพติกมีทีมงานทั้งหมด 30 คน และมีพื้นที่ในการให้บริการทั้งหมด 427 ตารางเมตร การสร้างแว่นอัลตร้า เอ็กซ์ ของไอซอพติกเป็นงานที่ใช้ความละเอียด และมีขั้นตอนสลับซับซ้อนกว่าการทำแว่นตาทั่วไปหลายเท่า แต่ที่เราทำเวลาได้ 3 ชั่วโมง ซึ่งจริงๆ พวกเราต้องใช้เวลาทั้งวัน แต่เราสามารถที่จะย่นระยะเวลาจาก 9 ชั่วโมง เหลือ 3 ชั่วโมงได้ เพราะว่าเรามีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ มีเครื่องมือที่ทันสมัย และมีประสบการณ์ที่ยาวนาน เราจึงสามารถที่จะปฏิบัติการด้วยระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่ลูกค้ามักจะรู้สึกว่าใช้เวลานาน

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าแว่นมีคุณภาพ การตรวจวัด การประกอบ การฟิตติ้ง การปรับแต่งตำแหน่งขา และแป้นจมูกไม่พอดี

จะใส่ไม่สบาย ต้องขยับแว่นตลอดเวลา แว่นตก เจ็บหลังหู เจ็บจมูก โฟกัสเซ็นเตอร์ตาไม่อยู่ในตำแหน่งที่ควรจะอยู่ สมองต้องฝืนเพ่งก็หาแว่นอยู่ตลอดเวลา ทำให้เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้าได้ง่าย รู้สึกไม่สบาย สมองมีประสิทธิภาพการทำงานต่ำลงด้านความคิด อ่อนล้าได้ง่าย สุขภาพแย่ลง ซึ่งมีลูกค้าปลายคนติดต่อเข้ามาเยอะมาก ซึ่งเขาไม่มีปัญหาราคา แต่เขาต้องการตรวจวัดสายตาเสร็จภายใน 15 – 30 นาที และได้แว่นภายใน 3 - 5 วัน ซึ่งที่ไอซอพติกไม่สามารถทำได้ โดยการวิเคราะห์ใช้เวลา 3 ชั่วโมง และการสร้างแว่นใช้เวลาประมาณ 2 - 8 สัปดาห์

ขั้นตอนการวิเคราะห์ระบบการมองเห็นการทำแว่นของไอซอพติกมีทั้งหมด 18 ขั้นตอน

1. ทำการประเมิน ทำการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้สายตาอย่างละเอียด

ลูกค้าแต่ละท่านเข้ามาเราจะวิเคราะห์ว่าแต่ละคนใช้สายตาอย่างไร กับอะไร ยังไง ที่ไหน เมื่อไหร่ นานแค่ไหน เช่น ใช้ PC ใช้ laptop ใช้แท็บเล็ต ใช้สมาร์ทโฟน อ่านหนังสือ ตีกอล์ฟ เล่นเทนนิส ตีแบต เล่นกีฬา ขับรถชนิดไหน ความสูงของเบาะกับองศาของเบาะนั่งเท่าไหร่ ซุปเปอร์คาร์หรือไม่ ตำแหน่งพวกนี้มีผลทั้งนั้นในการสร้างแว่นตา ใช้จอ PC กี่จอ หลังจากนั้นเราจะทำการวิเคราะห์ระบบการมองเห็น ซึ่งการวิเคราะห์ระบบการมองเห็นของไอซอพติกจะเป็นระบบการวิเคราะห์การมองเห็นแบบดิจิตอล 3 มิติ ที่ทันสมัย และดีที่สุด ซึ่งคิดค้นพัฒนาโดย ปรมาจารย์โบบิ และทีมงานศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก

2. ทำการตรวจหาตาข้างที่ถนัดเบื้องต้น

หลักการคือ เราจะดูว่าตาข้างที่ถนัดสัมพันธ์ และอยู่ข้างเดียวกับมือข้างที่ถนัดหรือไม่ ซึ่งจะมีผลต่อการออกแบบ สร้างแว่นตา กรณีตาที่ถนัด และมือที่ถนัดอยู่ข้างเดียวกัน คนกลุ่มนี้เขาจะค่อนข้างมีความสามารถในการปรับตัวได้มากกว่าคนที่เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง กลุ่มที่ปรับตัวยากคือ กลุ่มที่ถนัดตาและมือที่ถนัดอยู่คนละข้างกัน กลุ่มนี้จะปรับตัวได้ยากกว่า ข้อมูลเหล่านี้จะถูกออกแบบมาคำนวณ เพื่อจะสร้างแว่นตาที่ไม่ต้องปรับตัว ในเวลาที่เราตรวจสอบตาข้างที่ถนัดเราจะยกมือขึ้น แล้วทำมือเป็นรูปสามเหลี่ยมอย่างนี้ แล้วเล็งไปที่นาฬิกานาฬิกาแขวนติดผนังก็ได้ เล็งให้เห็นนาฬิกา แล้วก็ปิดขวา ถ้าเรายังเห็นนาฬิกาแสดงว่าเราถนัดตาขวา ปิดซ้ายนาฬิกาก็จะหายไป แสดงว่าเราถนัดขวา

3. ทำการทดสอบความสามารถในการรับรู้ของสีอย่างละเอียด

เป็นการทดสอบที่ละเอียดกว่าการทดสอบใบขับขี่ ทดสอบละเอียดกว่าการทดสอบนักบิน ซึ่งเราจะทำการทดสอบโดย ดร.ทางด้านสายตา ความสามารถในการรับรู้สีจะถูกนำไปเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งในการตรวจวิเคราะห์ระบบการมองเห็น มนุษย์แต่ละคนจะมีขีดความสามารถในการรับรู้สีไม่เท่ากัน ดังนั้นที่ไอซอพติกเรามีขีดความสามารถในการวิเคราะห์การรับรู้สีได้ละเอียดถึง 20 ระดับ ซึ่งจะละเอียดกว่าทั่วไป 2 เท่า

4. ทำการตรวจวัดจุดศูนย์กลางของรูม่านตาในทุกระยะ

ในการวัดจุดกึ่งกลางของรูม่านตา โดยทั่วไปเขาจะวัดกันจุดเดียว ระยะเดียว คือ ที่ระยะอนันต์ แต่ที่ไอซอพติกเราจะดูเลยว่า ลูกค้าใช้งานที่ระยะไหนบ้าง แล้วก็วัดในระยะเหล่านั้นทั้งหมด ถ้าลูกค้าใช้ 4 ระยะ ก็ต้องวัด 4 จุด แล้วแต่ละจุดจะวัด 2 ครั้ง ก็คือวัดการสะท้อนกับวัดจุดกึ่งกลางรูม่านตา เพื่อจะเอาค่ามาคำนวณหาความสัมพันธ์กัน

5. ตรวจวัดความโค้งของกระจกตา

เราทำเพื่อคำนวณหาค่าสายตาเอียงบนกระจกตา แล้วไปคำนวณว่าหากค่าสายตาเอียงที่ส่วนอื่นเป็นเท่าไหร่ เพื่อที่จะคำนวณว่าในแต่ละเคสควรจะจ่ายกำลังเลนส์เท่าไหร่ องศาเท่าไหร่

6. ทำการตรวจผิวของกระจกตา

เป็นการตรวจเพื่อเฝ้าระวังว่า ผิวกระจกตาปกติหรือไม่ ซึ่งเครื่องตัวนี้เวลาเราวัด 10 - 20 ครั้ง ค่ามันจะไม่นิ่ง คลาดเคลื่อนเกินกว่าที่จะยอมรับได้ แต่เวลาตรวจพบว่ามันมีความไม่ปกติเป็นอย่างมาก เราสามารถที่จะให้จักษุแพทย์ใช้ Slit lamp ตรวจซ้ำ

7. การตรวจการฟุ้งกระจายของแสงในดวงตาแต่ละข้างด้วยเครื่อง Aberromete ( เครื่องวัดความคลาดเคลื่อนเชิงแสง )

เป็นการตรวจเพื่อหาค่าคร่าวๆ แต่ผลที่ได้ของเครื่องนี้ก็ยังไม่นิ่ง

8. ทำการวิเคราะห์ค่าสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง ด้วย Retinoscope

Retinoscope เป็นเทคโนโลยีที่เก่ามาก อายุการใช้งานในระดับ 100 ปี แต่ Retinoscope เป็นหนึ่งในสองเครื่องมือวัดสายตาที่มีความแม่นยำมากที่สุดในโลก ( Retinoscope และ Phoropter ) แต่ต้องใช้คู่กับเครื่องมืออย่างอื่น

หลักการทำงานของ Retinoscope คือ การฉายลำแสงเข้าไปในตา แล้วดูลำแสงที่สะท้อนกลับมา ซึ่งเป็นระบบการตรวจที่แม่นยำที่สุด แต่ต้องอาศัยฝีมือ ความรู้ และความชำนาญของผู้ตรวจ มีความแม่นยำ

Retinoscope เมื่ออยู่ในมือของผู้ใช้ที่มีความชำนาญ มีความรู้ มีความถูกต้อง เที่ยงตรง แม่นยำ และอยู่ในภาวะห้องตรวจที่เหมาะสม สภาวะแสงเหมาะสม ตัวผู้ถูกตรวจเหมาะสม Retinoscope จะตรวจได้แม่นยำกว่าคอมพิวเตอร์วัดตาทุกชนิดในโลกนี้

9. ตรวจวัดกำลังเลนส์แว่นเดิม

ซึ่งไอซอพติกจะใช้เครื่องวิเคราะห์กำลังเลนส์แว่นเดิมที่มีความละเอียดที่สุด เพื่อจะให้รู้ว่ากำลังเลนส์ของแว่นเดิมมีค่าสายตาจริงๆ เท่าใด และที่เราเห็น 25, 50, 75 จริงๆแล้วมันไม่ใช่ มันจะมีความคลาดเคลื่อนเสมอ

10. ตรวจรายละเอียดเลนส์ของแว่นเดิม

โดยตรวจว่า เป็นเลนส์ชนิดไหน รุ่นไหน เนื้อวัสดุอะไร ตำแหน่งเซ็นเตอร์ของเลนส์แต่ละข้างตรงกับรูม่านตาไหม เพื่อคำนึงถึงค่าปริซึม ค่าตาเขซ่อนเร้น ค่าปริซึมที่เกิดจากการประกอบที่ผิดพลาดของแว่นเก่า

11. ทำการวิเคราะห์ระบบการมองเห็นอย่างละเอียด

โดยวิเคราะห์ด้วย Digital Phoropter ที่ละเอียดที่สุดในโลก ซึ่งมีซอฟต์แวร์ที่เขียนขึ้นมาเฉพาะสำหรับไอซอพติก

12. ตรวจสุขภาพอย่างละเอียดโดยจักษุแพทย์

13. ทดลองเลนส์

โดยจะทำการทดลองเลนส์ตามพฤติกรรมการใช้สายตาจริง ซึ่งในการทดลองเลนส์จะมีเลนส์ให้ลองทั้งหมด 50 กว่ารุ่น แต่ละรุ่นจะ 12 เทคโนโลยี แต่ละ 12 เทคโนโลยีจะมี 4 โครงสร้างที่แตกต่างกัน ดังนั้นลูกค้าทุกคนจะได้เห็น ได้ลอง ได้เดิน ได้อ่านด้วยตนเองกับเลนส์โปรเกรสซีฟแต่ละรุ่นว่าต่างกันอย่างไร