หลักการของเลนส์ Ultra X คือหลักการที่เพิ่มคุณภาพการทำงานของสมองส่วนควบคุมการมองเห็นให้สามารถที่จะมองเห็นได้อย่างสบายตาที่สุดโดยไม่ต้องฝืนเพ่งเหมือนแว่นตาทั่วไป ลดภาระการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมการมองเห็นลงให้ได้มากที่สุด ให้อยู่ในภาวะที่เห็นภาพได้ชัดทุกระยะในเสี้ยววินาที ผ่อนคลาย ซึ่งเป็นภาวะที่เราเคยเป็นตอนเราอายุ 30 ปี
ปกติแล้วความสามารถในการเพ่งของคนเราจะลดลงตามวัยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอายุ 30 ปี เป็นระดับกลางๆ ที่ยังสามารถมองได้สบายๆ พออายุ 35 ปีขึ้นไป เริ่มจะต้องเพ่ง ต้องเกร็ง ความสบายเริ่มลดลงแต่ว่ายังสามารถที่จะดูได้ทุกระยะ เมื่ออายุ 37 38 ปี จะเป็นวัยที่ตอนเช้ายังเพ่งได้ แต่พอเข้าสู่ช่วงสายเริ่มช้าลง ตอนบ่ายก็จะเริ่มช้าลงอีก ตอนเย็นก็เริ่มล้า ซึ่งภาวะเหล่านี้เราเรียกว่า ความสามารถในการเพ่งเริ่มไม่เพียงพอ ทำให้การทำงานของสมองช้าลง และประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของสมองทั้งระบบเริ่มลดลง เริ่มได้รับผลกระทบ รวมไปจนถึงสมองส่วนควบคุมอวัยวะในร่างกายก็เริ่มที่จะทำงานได้ไม่เต็มที่
ถ้าเรายังไม่แก้เราก็จะช้าลงไปเรื่อยๆ ประสิทธิภาพการทำงานของสมองของเราก็จะลดลงตามวัยที่เพิ่มขึ้น และลดลงในอัตราก้าวหน้าก้าว เมื่อเข้าสู่วัย 39 40 ปี จะเข้าสู่ภาวะที่เราเรียกว่า ภาวะวิกฤต คือในภาวะนั้นความสามารถในการมองเห็นของเราก็จะลดลงจนถึงขนาดที่ว่า เราเริ่มที่จะมองภาพระยะใกล้ได้ลำบากขึ้น จนสุดท้ายเราต้องใช้ระยะ และใช้แสงไฟช่วย นี่เป็นภาวะที่เราเรียกว่า ความสามารถในการเพ่งไม่เพียงพอ หรือ จุดเริ่มต้นของสายตายาวระยะใกล้
ในวัยช่วง 40 ปี เราก็จะมีช่วงจังหวะหนึ่งที่เรายังพอที่จะฝืนเพ่งได้โดยไม่ต้องใช้แว่น แค่ว่าดูตัวเล็กไม่เห็น แต่ตัวใหญ่ก็ยังเห็นอยู่ ใช้วิธีฝืนเพ่งเอา
เกิดอะไรขึ้นเมื่อเราฝืนเพ่ง การฝืนเพ่งคืออะไร?
การฝืนเพ่งคือ การเกร็ง เป็นกระบวนการซึ่งสมองส่วนควบคุมการมองเห็นจะสั่งการให้ระบบควบคุมความโค้งของเลนส์แก้วตาเกร็ง เพื่อที่จะเพิ่มความโค้งของเลนส์แก้วตาที่เริ่มแข็ง เริ่มสูญเสียความยืดหยุ่น ให้ปรับความโค้งให้สามารถที่จะมองได้ชัดในระยะใกล้ โดยจะพยายามเท่าที่จะทำได้ ในจังหวะที่มีการเกร็ง การเพ่ง ซึ่งจะเหมือนกับการที่เราพยายามที่จะเอื้อมมือไปหยิบของที่อยู่สูงด้วยการเขย่ง
คนที่มีปัญหาทางด้านสายตายาวระยะใกล้ในวัย 40 ปี แล้วไม่แก้ไข พยายามที่จะใช้วิธีฝืนเพ่ง สิ่งที่เราจะสูญเสียไปคือ เราจะสูญเสียความสามารถในการทำงานด้านอื่น สมองจะต้องฝืนเพ่งจนสมองส่วนอื่นที่ทำงานด้านความคิด ความอ่าน การคำนวณก็จะทำงานช้าลง สมองส่วนที่ควบคุมอวัยวะการทำงานของร่างกายก็จะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายเราทำงานแย่ลง สมรรถนะของร่างกายโดยรวมลดลง สภาพร่างกายแย่ลง นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับการที่เรามีปัญหาทางด้านสายตาแล้วไม่แก้
ซึ่งถ้าเราซื้อแว่นตามาใส่ แล้วแว่นตาดังกล่าวไม่ได้เป็นแว่นตาที่สร้างขึ้นมาเฉพาะสำหรับตัวเรา ก็จะกลับไปสู่ปัญหาเดิมคือ เป็นแว่นตาที่ช่วยทำให้เรามองเห็นชัดขึ้นก็จริง แต่เนื่องจากแว่นไม่ได้ออกแบบเฉพาะบุคคลเข้าหาตัวเรา เราจึงต้องปรับสมองส่วนควบคุมการมองเห็นเข้าหาแว่นอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราต้องใช้สมองส่วนควบคุมการมองเห็นปรับตัวเข้าหาแว่นอยู่ตลอดเวลา ปรับชีวิตของเราเข้าหาแว่นอยู่ตลอดเวลา ปรับวิธีการเดิน วิธีการอ่านหนังสือ วิธีการใช้คอมพิวเตอร์ ใช้มือถือ ขับรถ เล่นกีฬา ทุกอย่างเราจะต้องปรับเข้าหาแว่น ทำให้สมองส่วนการมองเห็นทำงานหนัก กลับไปปัญหาเดิม เพียงแต่ว่าตอนนี้มีแว่นเข้ามาเกี่ยว นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับแว่นตาที่ไม่ใช่ของเรา
ไอซอพติกเป็นที่เดียวที่แก้ได้ ทางแก้คือ จะต้องสร้างแว่นตาขึ้นมาที่ออกแบบเฉพาะบุคคลอย่างแท้จริง ต้องเป็นออกแบบเฉพาะบุคคลอย่างยิ่งยวด ที่เอาตัวผู้ใช้แต่ละคนเป็นศูนย์กลาง แล้วสร้างแว่นขึ้นมาตามตำแหน่งดวงตา ตามค่าสายตา ตามโครงสร้างพฤติกรรม ทุกอย่างต้องใช้ตัวผู้ใช้แว่นเป็นตัวตั้ง ซึ่งเป็นการทำแว่นที่ละเอียดกว่าแว่นทั่วไปถึง 1,000 เท่า และมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า 100 เท่า
จะเกิดอะไรขึ้นกับเลนส์แว่นตาเฉพาะบุคคลอย่างยิ่งยวด ถ้าเราพยายามจะสร้างขึ้นมาด้วยการลดต้นทุน
ผลคือ ประสิทธิภาพจะลดลงจาก 100 % เหลือ 5 - 10% นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมใส่แว่นของไอซพติก ไปแล้ว พอไปใส่เลนส์ของที่อื่นจะใส่ไม่ได้
หลายคนคงเกิดคำถามว่า แว่นตาโปรเกรสซีฟดียังไง แว่นโปรเกรสซีฟที่ดีต้องเป็นยังไง
1. เป็นแว่นที่ใส่แล้วรู้สึกเป็นธรรมชาติ เสมือนว่าแว่นตาเป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะในร่างกาย ใส่ไปแล้วไม่รู้สึกว่าใส่แว่นอยู่ ใส่แล้วให้ภาพคมชัดสมจริง เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
2. เป็นแว่นที่ใส่แล้วสามารถที่จะใช้สมองได้อย่างเต็มที่มากขึ้น รู้สึกทันทีว่าฉลาดขึ้น ทำงานได้ดีขึ้น อ่านหนังสือได้เร็วขึ้น เข้าใจหนังสือที่อ่านได้มากขึ้น จะดูคอมพิวเตอร์
3. ใส่แล้วมีพลังมากขึ้น