ในการทำแว่นเรามี 2 วิธี คือ การทำแว่นแบบที่ให้ผู้ใช้ปรับตัวเข้าหาแว่นเอาเอง ซึ่งเป็นการทำแว่นบนหลักวิชาความรู้ทางด้านสายตาเมื่อสมัย 100 ปีที่แล้ว เป็นความรู้ที่สืบทอดกันมา แล้วก็ถูกเชื่อกันมาว่าเป็นวิธีที่ถูก วิธีที่ดีที่สุด ซึ่งถูกสอนกันมารุ่นต่อรุ่น จากสถาบันการศึกษาหนึ่งไปสู่อีกสถาบันการศึกษาหนึ่ง ซึ่งมีรากฐานในการตรวจวัดสายตาแบบเดียวกันคือ เป็นแพทเทิร์นที่ใช้กันมาร้อยกว่าปีที่แล้ว ซึ่งถูกถ่ายทอดต่อๆ กันมาว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด
เคยได้ยินคำพูดที่ว่า อุปสรรคของการสร้างสิ่งที่ดีกว่าหรือสิ่งที่ดีที่สุดคือ สิ่งที่เราคิดว่าดีอยู่แล้ว เมื่อมีการให้ความเชื่อในศาสตร์การวัดตาดั้งเดิมที่สืบทอดกันมา 100 กว่าปี มาตรฐานการตรวจวัดสายตา การทำแว่นจึงย้ำอยู่กับที่ มีการพัฒนา และการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก
ถ้าเราทำแว่นแล้วคิดแบบเดิมๆ ใช้ความรู้แบบเดิมๆ แล้วก็ทำแบบเดิมๆ ผลที่ได้คือ ได้แว่นตาที่มีคุณภาพแบบเดิมๆ ในเมื่อเราทำทุกอย่างเหมือนเดิม แล้วเราจะไปคาดหวังผลที่ดีกว่าได้อย่างไร
ผมจึงสร้างแว่นตาที่ดีที่สุดในโลก และดีขึ้นทุกวัน ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ นี่เป็นเหตุว่าทำไมแว่นตาของไอซอพติกจึงมีการพัฒนามาตรฐาน พัฒนาคุณภาพการวิเคราะห์ระบบการมองเห็น การสร้างแว่นตาเฉพาะบุคคลอย่างยิ่งยวดที่ดีขึ้นในทุกๆ วัน และมีก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีให้เห็นทุกๆ ปี ฉีกกฎข้อจำกัดเดิมๆ ของแว่นโปรเกรสซีฟ ซึ่ง Ultra X เป็นเลนส์แว่นตารุ่นใหม่ล่าสุดของไอซอพติก ที่ถูกสร้างขึ้นมาตรงกันข้ามกับแนวคิดดั้งเดิม ( แนวคิดดั้งเดิมคือ การที่คนใส่แว่นจะต้องฝืนปรับชีวิตทั้งชีวิตเข้าหาแว่น )
Ultra X เป็นเทคโนโลยีที่สร้างแว่นตาเข้าหาคน เราสร้างบนแนวคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ด้วยการเอาตัวผู้ใช้แต่ละคนเป็นศูนย์กลาง เราเอาชีวิตเขาทั้งชีวิตมาตั้งว่า ใช้คอมพิวเตอร์อย่างไร ขนาดจอกี่นิ้ว ใช้โปรแกรมอะไร ขนาดตัวอักษรเท่าไหร่ ชนิดจอเป็นจออะไร เพราะว่าคุณภาพของจอก็มีผลต่อการมองเห็น ( คุณภาพของจอคอมพิวเตอร์มีผลมากในเรื่องของความสบายในการใช้สายตา ) แต่ด้วยแว่น Ultra X ความจำเป็นเรื่องของคุณภาพจอก็ไม่จำเป็นมากนัก เพราะตัวแว่นตา Ultra X สามารถชดเชยเรื่องของคุณภาพจอได้
การสร้างแว่น Ultra X ของไอซอพติก เราสร้างตามพฤติกรรมการใช้สายตาจริงของผู้ใช้แต่ละคน บนกรอบแว่นแต่ละอัน ตามค่าสายตาขวา-ซ้ายที่แตกต่างกัน ทั้งสายตาสั้น สายตายาวระยะไกล สายตาเอียงระยะไกล สายตาเอียงระยะใกล้ ตาเขซ่อนเร้น สายตายาวระยะใกล้ ทั้งหมดนี้จะถูกเอามาคำนวณแล้วก็สร้างเลนส์ที่มีความละเอียดกว่าเลนส์ทั่วไปหลายเท่า ด้วยเทคโนโลยีสูงสุดของไอซอพติก และเยอรมนี ทำให้เราได้แว่นตาที่สามารถทะลุทะลวงข้อจำกัดเดิมๆ
เวลาที่เราใช้แว่นโปรเกรสซีฟเราจะต้องฝืนปรับตัวก็หาแว่นอยู่ตลอดเวลา เป็นเหตุทำให้เราสูญเสียพลัง สูญเสียความสามารถในการทำงานของสมองไปเยอะ ทำให้เราช้าลง ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นมากตามวัยที่เพิ่มขึ้น แต่แว่น Ultra X ของไอซอพติก เราสามารถทะลุทะลวงขีดจำกัดตรงนี้ได้ เพื่อให้คนที่อายุ 40 ปีขึ้นไป สามารถที่จะใช้สายตากับคอมพิวเตอร์ เอกสารจำนวนมากติดต่อกันหลายชั่วโมงต่อวัน โดยไม่ต้องเปลี่ยนแว่นไปมา
มีหลายคนที่ใช้แว่นโปรเกรสซีฟทุกระยะ แล้วเวลาจะใช้คอมพิวเตอร์ก็ต้องถอดแว่นเพื่อเปลี่ยนเป็นแว่นโปรเกรสซีฟมองใกล้ ซึ่งจะต้องสลับแว่นไปมาตลอดทั้งวัน ศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติกตระหนักถึงปัญหานี้ เราจึงสร้างแว่นตาที่สามารถที่จะใส่ได้ตลอดทั้งวันโดยไปจำเป็นต้องเปลี่ยนแว่น ซึ่งสามารถเห็นชัดได้ตั้งแต่ระยะ 40 เซ็นติเมตรขึ้นไป สามารถขับรถได้อย่างปลอดภัย มั่นใจ กะระยะได้เม่นยำ สามารถนั่งทำงานกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ laptop Tablet Smartphone เอกสารจำนวนมาก สามารถใช้สายตาได้ดั่งใจ โดยไม่ต้องเปลี่ยนแว่นไปมา
หลายคนมัวแต่หาเลี้ยงชีวิต กลับถึงบ้านหมดแรง เพราะเราใช้แว่นตาโปรเกรสซีฟ ราคาแพง เทคโนโลยีอื่น ที่ไม่ได้ออกแบบสำหรับตัวเราโดยเฉพาะ เราจึงต้องฝืนกับชีวิตของเราเข้าหาแว่นอยู่ตลอดเวลา สมองส่วนการมองเห็นต้องปรับตัวเข้าหาแว่นอยู่ตลอดเวลา คนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ถ้ามีอาการเหล่านี้ สามารถแก้ไขได้ โดยการเปลี่ยนมาใช้แว่นตา Ultra X หรือจะใช้รุ่นที่เป็นแว่นโปรเกรสซีฟอัจฉริยะ ระบบดิจิตอล 3 มิติ ของไอซอพติก เราก็สามารถที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้
เลนส์ Ultra X เป็นเลนส์ที่ปฏิรูปโฉมหน้าของการทำแว่น ปฏิรูปโฉมหน้าของการใช้ชีวิตของคนในวัย 40-100 ปี ซึ่งเรากำลังพัฒนาให้สามารถรองรับกลุ่มคนที่อายุเกิน 100 ปี เนื่องจากงานวิจัยล่าสุด มนุษย์สามารถมีอายุยืนยาว และแข็งแรงได้ถึง 150 ปี
ทำไมเราถึงควรจะมีอายุยืนยาว เกิดอะไรขึ้นถ้าครอบครัวไหนมี คุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ที่มีอายุยืนยาว
แนวคิดของคนไทย และคนเอเชียส่วนใหญ่ เราเชื่อว่าการมีอายุยืนยาวคือพระพร สำหรับผมอายุยืนยาวคือพระพรของพระเจ้า ดังนั้นการที่เรามีอายุยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตที่ดี สุขภาพแข็งแรง เรียกได้ว่าสูงวัยอย่างมีคุณภาพ นั่นคือพระพร และบ้านหลังไหนที่มีผู้สูงวัยอยู่ก็ยิ่งเป็นพระพร สำหรับบ้านหลังนั้น สำหรับทุกคนในครอบครัวก็จะได้รับความสุข ความเจริญ ได้รับความก้าวหน้า ได้รับความมั่งคั่ง และความสุข ดังนั้นผู้สูงวัยในแต่ละบ้าน เราต้องคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเราอยู่เพื่ออะไร เราอยู่เพื่อลูกหลาน เราไม่ได้อยู่เพื่อตัวเอง เราต้องอยู่อย่างมีความสุขด้วย คุณพ่อผมปัจจุบันนี้ก็อายุ 90 กว่าปี และคุณแม่ก็อายุ 80 กว่าปี ผมก็พยายามจะให้ท่านอยู่ได้ถึงอายุ 150 ปี