ในร้านสีขาวสะอาดบนชั้น ๔ ของตึกเอราวัณแบงค็อก สี่แยกราชประสงค์ ชายหนุ่มในภาพกำลังวัดสายตาให้ลูกค้าอย่างทะมัด ทะแมง และเอาจริงเอาจัง สมบูรณ์ นำทิพย์จันทาเจริญ หรือ ปรมาจารย์โบบิ มีลูกค้าที่นัดหมายล่วงหน้าเป็นสัปดาห์ แวะเวียนมาใช้บริการตลอดวัน จนต้องนัดพบกับเราตอนพลบค่ำจวนเจียนจะถึงเวลาปิดร้าน
สี่สิบกว่าปีก่อน เด็กน้อยโบบิ ทายาทคนที่ 6 ของ นายสว่าง และ นางนภาพร เชาวนโกศล เจ้าของร้าน สว่างการแว่น ที่จังหวัดตรัง เติบโตในร้านแว่นของคุณพ่อด้วยความสงสัยว่า ทำไมคุณยายถึงมองไม่เห็น ไม่ว่าจะใส่แว่นคุณภาพดีที่ ไม่นานคุณยายก็เสียชีวิต พอรู้เดียงสาจึงทราบว่าจอประสาทตาของคุณยายเสื่อมจนทำให้ตาบอด ด้วยความฝังใจเรื่องในอดีตที่คุณยายสูญเสียการมองเห็น เด็กน้อยจึงฝันว่าโตขึ้นจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสายตา เมื่ออายุได้ 7 ขวบ มีลูกค้าถามคุณพ่อว่า คุณสว่างทำแว่นให้ผมใส่ได้ดีมาก ผมทำที่ไหนก็ใส่ไม่สบายไม่เหมือนคุณสว่างทำให้ แล้วถ้าคุณสว่างตายไป แล้วใครจะทำแว่นดีๆแบบนี้ให้ผมใส่ คุณพ่อยิ้มกว้างแล้วชี้มาที่เด็กน้อยโบบิ แล้วตอบว่า ถ้าผมตาย ลูกชายผมคนนี้จะทำแว่นที่ดีที่สุดให้คุณใส่ นี่เป็นแรงบัลดาลใจให้เด็กน้อยโบบิ ศรัทธาในคุณค่าการมองเห็น และใฝ่ฝันอยากเป็นผู้ตรวจวัดสายตาประกอบแว่นที่ดี ที่สุดในโลก หลังจากทุ่มเทศึกษาค้นคว้าหาความรู้ แล้วต่อยอดพัฒนา คิดค้นหลายสิบปี วันนี้เขาก็ทำได้สำเร็จ
ทำไม ปรมาจารย์โบบิ ถึงสนใจเรื่องเลนส์แว่นตาโปรเกรสซีฟ
ตอนประกอบแว่นตาโปรเกรสซีฟคู่แรกให้ลูกค้าวัยเกือบ 60 ลูกค้าบอกว่า มองชัดทุกระยะ ใส่แล้วรู้สึกสบายเหมือนได้กลับไปเป็นหนุ่มอีกครั้ง ผมจึงคิดว่า ถ้าแว่นตาโปรเกรสซีฟทำให้คนวัย 60 มองเห็นได้เหมือนคนหนุ่มสาว ผมจะต้องทำแว่นตาโปรเกรสซีฟให้คนทั้งโลกใส่ ผมใช้เวลาหลายหมื่นชั่วโมงตลอดหลายปี ทุ่มเทศึกษาค้นคว้าคิดค้นต่อยอดพัฒนาการตรวจวัดสายตาประกอบแว่นโปรเกรสซีฟขั้นสูง
สมัยก่อน แว่นตาโปรเกรสซีฟจะใช้งานได้ดีแค่เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น อีกครึ่งหนึ่งใช้งานได้ไม่ดี ใส่ไม่สบาย และมีจำนวนมากที่ไม่สามารถใช้งานได้เลย แต่ผมสามารถทำแว่นตาโปรเกรสซีฟให้ทุกคนใช้งานได้ดี ใส่สบาย ด้วยเคล็ดลับที่ค้นคว้าพัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษจนมีชื่อเสียงไปถึงต่างประเทศ ตอนผมไปสอนที่งานแสดงแว่นตาระดับโลกที่เซี่ยงไฮ้ ผู้เข้าร่วมงานจากทั่วโลกต่างก็ตื่นเต้นกับการสาธิตเลนส์แว่นตาโปรเกรสซีฟไฮเอนด์บนกรอบแว่นจำลอง จนผู้มาร่วมงานต่างกล่าวขวัญกันว่า มีคนไทยสอนเรื่องเลนส์แว่นตาโปรเกรสซีฟได้เก่งมาก สอนติดต่อกันตลอดหลายวัน เหนื่อยแทบขาดใจ แต่ก็ภูมิใจที่สร้างชื่อเสียงว่า คนไทยก็หนึ่งในเวทีแว่นตาโปรเกรสซีฟระดับโลกจนมีลูกศิษย์หลายพันคน ที่เรียนวิชาแว่นตาโปรเกรสซีฟขั้นสูงกับผมผ่านทางเว็บไซต์ของ Advance Progressive Addition Lenses Club www.apcthai.com ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเว็บไซต์ด้านการตรวจวัดสายตาประกอบแว่นโปรเกรสซีฟไฮเอนด์ที่ดี และเป็นการประกาศศักดิ์ศรีของคนไทยในระดับโลกว่า คนไทย ตรวจวัดสายตาประกอบแว่นโปรเกรสซีฟไฮเอนด์ได้ดี
เคยได้ยินมาว่า เลนส์แว่นตาโปรเกรสซีฟ ใช้ยาก ใส่แล้วเวียนหัว
จริงที่ว่า เลนส์โปรเกรสซีฟเทคโนโลยีอื่นคุณภาพต่ำ มุมมองแคบ หาระยะชัดได้ช้า ปรับตัวลำบาก ใส่ไม่สบาย มีข้อจำกัดในการเลือกกรอบแว่นค่อนข้างมาก ทุกวันนี้ยังคงมีผู้ใช้แว่นตาจำนวนมาก เสียเงินหลายพันไปจนถึงหลายหมื่นบาท ซื้อแว่นตาโปรเกรสซีฟราคาแพงเทคโนโลยีอื่นที่ใช้งานไม่ได้ ส่วนหนึ่งเกิดจากตรวจวัดประกอบไม่ถูกต้อง ตอนผมสอนเรื่องการตรวจวัดสายตาประกอบแว่นโปรเกรสซีฟขั้นสูงทั้งในประเทศไทย และในต่างประเทศ ผมประหลาดใจที่พบว่า มีผู้ขายเลนส์แว่นตาโปรเกรสซีฟจำนวนมาก ยังขาดความรู้ความเข้าใจในการตรวจวัดสายตาประกอบแว่นโปรเกรสซีฟอย่างถูกต้อง
ปัจจุบันเทคโนโลยีของเลนส์แว่นตาโปรเกรสซีฟระดับไฮเอนด์ ได้รับการพัฒนาให้ออกแบบ และผลิตเลนส์แต่ละชิ้นเข้าหาผู้ใช้ ทำให้ไม่ต้องฝืนปรับตัวเข้าหาแว่นอีกต่อไป พูดง่าย ๆ ก็คือมารับแว่นแล้วขับรถกลับไปทำงานต่อได้ทันที แต่หากตรวจวัดประกอบไม่ถูกต้องจะทำให้คุณภาพการมองเห็นลดลงถึงสามเท่า
ปรมาจารย์โบบิ มักพูดบ่อย ๆ ว่า Life is too short to limit your vision หมายความว่าอย่างไร ?
Limit your vision = Limit your life เราไม่ได้มีอายุยืนยาวสองร้อยปี แล้วทำไมเราต้องจำกัดคุณภาพการมองเห็นของตัวเราเองเพียงเพราะเสียดายเงิน เดือนละไม่กี่พันบาท ทำไมเราต้องจำกัดประสิทธิ์ภาพในการทำงาน จำกัดกำลังความคิด จำกัดสติปัญญาของตัวเราเองด้วยการใช้เลนส์แว่นตาคุณภาพต่ำ ผมกล้ารับประกันว่าแว่นตาโปรเกรสซีฟไฮเอนด์สามารถช่วยให้ผู้มีอาการสายตายาว ระยะใกล้ มองชัดทุกระยะในเสี้ยววินาที ใส่สบาย ทำงานได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพมากขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น มีชีวิตที่ดีขึ้น บ่อยครั้งที่ลูกค้าบอกผมว่า แว่นของผมใส่แล้วรวยขึ้น สบายขึ้น มีความสุขมากขึ้น จริง ๆ แล้ว ผมไม่ได้ขายเลนส์แว่นตานะ ผมขายคุณภาพการมองเห็นในระดับสูงสุดเท่าที่เทคโนโลยีในปัจจุบันจะเป็นไปได้
ทราบมาว่าแว่นตาของไอซอพติก คิวยาว ตรวจวัดละเอียดมาก ราคาอันละเป็นแสน ๆ สั่งทีรอเป็นเดือน ๆ
ใช่ครับ ราคาเลนส์แว่นตาโปรเกรสซีฟไฮเอนด์ มีตั้งแต่คู่ละ 18,000 บาท ไปจนถึง 80,000 บาท ใช้เวลาทั้งสิ้นเฉลี่ยแล้วต่อชิ้นประมาณ 45 วันตั้งแต่กระบวนการตรวจวัด วิเคราะห์ค่าสายตา ทดลองเลนส์ ออกแบบเลนส์ สั่งเลนส์ ฝนเลนส์เข้ากรอบ ผมมุ่งมั่นทำให้แว่นตาทุกอัน ถูกต้อง แม่นยำในทุกรายละเอียดมากที่สุดเท่าที่เทคโนโลยีในปัจจุบันจะสามารถทำได้
ถ้าตัดแว่นใหม่มาแล้วงง พยายามฝึกใส่หลายสัปดาห์ก็ยังไม่ดีขึ้น ควรฝืนใส่ต่อไปไหม
ไม่ควรนะ แต่ถ้าฝืนใส่ติดต่อกันหลายเดือน คุณจะใส่แว่นอันนั้นได้จริง ๆ โดยไม่งง อย่างนั้นน่ะน่ากลัว เพราะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพสายตา และลดประสิทธิ์ภาพในการทำงานด้านการคิด
แว่นสายตา ถ้าตรวจวัดสายตาอย่างแม่นยำ เลือกใช้เลนส์แว่นตาคุณภาพดี ประกอบอย่างถูกต้อง เที่ยงตรง แม่นยำ ระยะเวลาการปรับตัวไม่ควรเกิน 72 ชั่วโมง
เรามองดูด้วยตา แต่มองเห็นด้วยสมอง กรณีตรวจวัดไม่ถูกต้องหรือใช้เลนส์แว่นตาคุณภาพต่ำ หรือประกอบไม่ถูกต้อง อาจมีอาการปวดหัว มองไม่ชัด แต่หากฝืนใช้ประมาณ 3 เดือน สมองส่วนควบคุมการมองเห็นจะพยายามฝืนปรับตัวเข้าหากำลังเลนส์หรือตำแหน่งของ แว่นที่ไม่ถูกต้องได้ แต่จะทำให้สายตาล้าเร็วกว่าปกติ ทำให้ความสามารถด้านอื่นๆของสมองลดลง พอฝืนเพ่งแล้วเห็นชัด สมองก็จะเอากำลังที่มีอยู่ไปทำงานด้านการเพ่งให้มองเห็นชัดอยู่ตลอดเวลา ความสามารถในการคิดก็จะลดลง คนส่วนใหญ่ไม่รู้ข้อนี้
ร้านสว่างการแว่นของคุณพ่อ มีความเป็นมาอย่างไร
ผมแซ่จิว มีพี่น้อง ๘ คน ผู้ชาย ๖ คน ผู้หญิง ๒ คน ผมเป็นคนที่หก คุณปู่เป็นหมอฟันจากไหหลำ มาทำสวนยาง ที่เขาหน้าหมี อ.ในสระ จ.กระบี่ สมัยนั้นหมีชุมขนาดเดินเพ่นพ่านอยู่ในสวนยาง วิ่งไล่คุณพ่อจนคุณปู่ ต้องใช้ปืนลูกซองยิงไล่อยู่บ่อย ๆ คุณพ่อใฝ่ฝันอยากเปิดร้านแว่น จึงขออนุญาตคุณปู่ นำเงินที่คุณพ่อเก็บหอมรอมริบมาชั่วชีวิตไปหุ้นกับญาติ เพื่อเปิดร้านแว่นตานาฬิกา ที่จังหวัดตรัง กิจการไปได้ด้วยดีจนคุณพ่อพบรักกับคุณแม่ที่หาดใหญ่ หลังแต่งงานคุณพ่อขอแยกหุ้นส่วน แต่กลับไม่ได้เงินสด ได้แต่นาฬิกาใส่กระเป๋าเร่ขาย ตอนนั้นลำบากมากจนคุณพ่อต้องอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์์ ขอพึ่งปาฏิหาริย์เพราะตอนนั้นจนตรอกจริง ๆ
แล้วเพื่อนพ่อชื่อหมอส้มเป็นคริสเตียน แนะนำให้พ่อไปอดอาหาร ๓ วัน อธิษฐานขอกับพระเยซูที่คริสตจักรตรัง คุณพ่อคิดว่าไม่มีอะไรจะเสีย จะอดตายกันทั้งครอบครัวอยู่แล้ว เลยไปอดอาหารอธิษฐานว่าถ้าช่วยได้ คุณพ่อจะไปประกาศให้คนอื่นรู้ว่าพระเจ้ามีจริง วันที่สาม คุณพ่อได้ยินเสียงบอกในใจให้ไปเดินในตลาด คุณพ่อก็เชื่อฟัง ก็มีเจ้าของบ้านหลังที่เราอยู่ ในปัจจุบัน เดินมาหาพ่อผมเลย ถามว่าจะเช่าบ้านเขามั้ย พ่อผมก็บอกตามตรงว่า อยากเช่าทำร้านแว่นแต่ผมไม่มีทุน เขาบอกว่า หน้าลื้อไม่ใช่คนขี้โกง ไม่เป็นไร เข้าไปอยู่ได้เลย ค้าขายกำไรแล้วค่อยจ่ายค่าเช่า ระหว่างที่กำลังแต่งร้าน คุณพ่อก็ขึ้นมาเรียนทำแว่นเพิ่มเติมที่ หสน.นำศิลปไทย กรุงเทพฯ ท่านมองว่ายังไงซะทุกคนก็ต้องใส่แว่น พอดีได้อาจารย์เก่งด้วย ชื่อ คำรณ ประจักษ์ธรรม ตอนผมอายุซัก ๗ ขวบก็เริ่มทำไม่ทันขายแล้ว
เมื่อพ้นวิกฤตมาได้ คุณพ่อจึงมีความเชื่อในพระเจ้า ไปนมัสการที่คริสตจักรตรังทุกวันอาทิตย์ คุณพ่อจะทำงานสัปดาห์ละ ๖ วัน จะใช้วันหยุดไปตามชนบทหรือหมู่บ้านต่าง ๆ ตามแต่จะที่พระเจ้าดลจิตดลใจให้คุณพ่อไปที่ไหน ส่วนใหญ่มักเป็นพื้นที่สีแดงในสมัยนั้น ( เขตอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ ) ทั้งที่จังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช กระบี่ จนทำให้มีคริสตจักรหลายแห่งตั้งขึ้นในพื้นที่เหล่านั้นมาจนถึงทุกวันนี้
แผลเป็นตรงหน้าผากของ ปรมาจารย์โบบิ ได้มายังไง
ตอนผมเล็ก ๆ ซนมาก วันนึงพี่น้อง นั่งกินข้าวไข่เจียวกันอยู่ ผมกินในจานหมด ก็หันไปคว้าไข่เจียวในจานพี่ชาย กินไปวิ่งหนีไป ผมหันไปดูพี่ พอหันมาอีกทีก็เพล้ง ตัวหลุดเข้าไปในตู้กระจกแล้ว
ตอนนั้นวิญญาณผมคงออกจากร่าง เห็นแม่อุ้มผมที่เลือดเต็มหน้า ขึ้นรถตุ๊กตุ๊กไปโรงพยาบาล เห็นแค่นั้นแหละ ฟื้นขึ้นมาจำได้แค่ว่ามีคนมาเยี่ยมเต็มไปหมด แล้วแผลลึกมาก ถึงโพรงจมูก ทุกวันนี้ผมมีรูจมูก ๓ รูนะ มีพังผืดขึ้นข้างใน...แผลเป็นบนหน้าผมก็ได้มาตอนนั้น จมูกขาดเลย บางคนไม่รู้ นึกว่าผมไปมีเรื่องกับจิ๊กโก๋ที่ไหน ( หัวเราะ ) พอออกจากโรงพยาบาลไม่นาน ผมก็มีอาการเป็นไซนัสอักเสบขั้นรุนแรงมาก ปวดตลอดเวลา
พอขึ้น ม.ต้น มีเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นไซนัสอักเสบเหมือนกัน ไปฝึก ร.ด. ตากฝน แล้วรุ่งขึ้นตาย หมอบอกว่าไซนัสขึ้นสมอง ผมก็กลัวสิ รายต่อไปต้องเราแน่ ๆ เลยรบเร้าให้คุณแม่พามากรุงเทพฯ ผ่าตัดดูดเอาหนองออก ทรมานมากเพราะเจ็บ แถมไม่หาย เป็นหนักกว่าเดิมด้วย คือ มีเลือดไหล
ผมก็กลัวตาย เลยอธิษฐานทั้ง ๆ ที่ ไม่มีความเชื่อ เพราะไม่เคยเจอกับตัวเอง แต่ผมอธิษฐานกับพระเจ้าว่า พระเจ้าของคุณพ่อที่เคยช่วยคุณพ่อ วันนี้ผมป่วย ผมไม่อยากตายด้วยโรคไซนัสขึ้นสมอง ขอให้พระเจ้าของคุณพ่อช่วยผม แล้วผมจะทำอย่างคุณพ่อ คือ ประกาศเรื่องราวของพระเจ้าให้คนอื่นฟัง ผมอธิษฐานอย่างนี้อยู่หลายเดือน แล้วก็หายไปเอง แล้วผมก็ลืมไป ตามประสาผม ( ยิ้ม )
สองสามปีถัดมา ผมเล่นบาสแล้วเพื่อนวิ่งมากระแทกข้างหลัง ผมก็ร่วงลงมาหลังฟาดพื้น ก็เจ็บกลับบ้าน ตื่นเช้าขึ้นมาเดินไม่ได้ ตกใจมาก แม่พาไปโรงพยาบาลถึงได้รู้ว่าหมอนรองกระดูกร้าว รักษาทั้งสมุนไพรจีน กายภาพบำบัดสุดท้ายทนไม่ไหวเลยตัดสินใจผ่า ก็ถามว่าถ้าผ่าสำเร็จจะหายเป็นปรกติมั้ย คำตอบคือ ไม่หายขาด ผมตัดสินใจว่าให้พระเจ้ารักษาดีกว่า ไม่อยากเสี่ยง กลัวพิการ ก็เริ่มอดอาหารอธิษฐานกับพระเจ้า สารภาพว่าคราวที่แล้วผิดไปแล้ว คราวนี้รับรองไม่เบี้ยว ( ยิ้ม ) ขอเพียงรักษาให้เป็นปรกติ จะเป็นผู้ประกาศแน่นอน
อธิษฐานอยู่อย่างนี้ประมาณอาทิตย์หนึ่ง วันที่สามเหมือนกับมีอะไรร้อนวูบ ๆ มาสัมผัสที่หลัง ลองเดินดูก็เดินได้ วิ่งเล่นได้
ผมก็ยอมแล้วไง จะไปเป็นผู้รับใช้พระเจ้า คล้าย ๆ บาดหลวงของทางคาทอลิก แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ยอมให้ไป เพราะผมมีแววด้านแว่นตามาแต่เด็ก เจ็ดขวบก็ขายของแล้วครับ ตื่นเช้ามาผมเป็นคนเดียวที่จัดแว่นจัดอะไรก่อน ไปโรงเรียน ผมชอบของผม
ตอนนั้นคุณพ่อเห็นด้วยไหมที่ ปรมาจารย์โบบิ ไปเรียนเป็นผู้รับพระเจ้า
ผมแอบสมัครเรียนหลักสูตรผู้รับใช้พระเจ้า ในระดับปริญญาตรีที่ Bangkok Institute of Theology แล้วอดอาหารอธิษฐานให้พระเจ้าดลใจคุณพ่อให้อนุญาต ไม่กี่วันต่อมา คุณพ่อก็เต็มใจให้ผมไปเป็นผู้รับใช้พระเจ้า ตำราส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ อาจารย์ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างประเทศ ผมเลยได้ภาษาอังกฤษจากที่นั่นแหละ
ทำไม ปรมาจารย์โบบิ ถึงไม่ได้รับใช้พระเจ้าตามที่ได้ตั้งใจไว้แต่แรก
เรียนถึงปีสุดท้าย เหลือวิทยานิพนธ์เล่มเดียว เกิดวิกฤตทางการเงินที่บ้าน พี่ ๆ นำเงินสดทั้งหมดไปซื้อที่ดินเก็งกำไรแบบเกินตัว คือ นำเงินสดไปมัดจำ ที่ดินแปลงใหญ่ แล้วกู้เงินธนาคารมาชำระค่าที่ดินส่วนที่เหลือ และขยายสาขาที่เกาะสมุยเร็วเกินไป หมุนเงินไม่ทัน ซัดดัมบุกคูเวตพอดี ยิ่งไปกันใหญ่ ถ้าสาขาเกาะสมุยล้ม จะพาสาขาอื่นล้มตามเป็นโดมิโน แล้วยังเป็นหนี้อีก
พี่ชายเดินทางมากรุงเทพฯ ขอให้ผมลงไปช่วย ผมก็ขอเวลาคิดคืนนึง ในที่สุดผมตัดสินใจไปแก้วิกฤตให้สว่างการแว่น เกาะสมุย ทั้งสาขาหน้าทอนและสาขาหาดเฉวงที่กำลังจะเปิด
ไปถึงก็สรุปได้ว่าต้องหาเงินให้ได้ ๒ ล้านภายใน ๓๐ วัน ถ้าไม่ทัน เช็คเด้ง บริษัทไม่ส่งของ ที่ดินกับร้านโดนยึด ทรัพย์สินก้อนใหญ่หายวับไปกับตา
ผมก็ดูว่าเรามีอะไร เราไม่มีเงิน แต่เรามีของ ก็ต้องเปลี่ยนของเป็นเงิน ใกล้ตรุษจีนพอดี ปิ๊งไอเดียในข้ามคืน จัดเลย ไชนีส แกรนด์เซล ที่ร้านสว่างการแว่น สาขาหน้าทอน เกาะสมุย สิบกว่าปีก่อนที่นั่นไม่รู้จักโปรโมชั่นส่งเสริมการขายแบบนี้ ผมเป็นเจ้าแรก
หาลำโพงมาเปิดเพลงฝรั่งฮิต ๆ เอา ผ้าแดงปูโต๊ะ เรียงแว่นกันแดด กล้อง นาฬิกา เครื่องคิดเลข ทุกอย่างที่มีในร้าน ทุกอย่างที่เครดิตมาได้จากซัพพลายเออร์ที่ยังยอมส่งสินค้าให้เราอยู่ หาของมาขายเพิ่ม แบบเอาเงินมาหมุนก่อน
ปรากฏว่างานนั้น เราเก็บได้ ๒ ล้านภายในเดือนแรก เลยมีเงินจ้างผู้รับเหมาตกแต่งร้านสว่างการแว่น สาขาหาดเฉวงจนเปิดได้ในที่สุด
ทำไมถึงกล้าคิดที่จะทำศูนย์แว่นตาระดับไฮเอนด์ที่ดีที่สุดในโลก
จุดก้าวกระโดดเกิดจากเริ่มทดลองทำร้านแว่นแนวคิดใหม่ ที่ออกแบบเพื่อขายแว่นตาโปรเกรสซีฟคุณภาพสูงโดยเฉพาะจนสามารถขายแว่นตาโปรเกรสซีฟคุณภาพสูงได้มากที่สุดในโลกในขณะนั้น ที่น่าแปลก คือ จำนวน 98% ของลูกค้ามาจากแถบสแกนดิเนเวีย นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ที่ต้องการแว่นตาคุณภาพดีที่สุด แล้วมีการบอกต่อพ่อแม่ ญาติ ๆ และเพื่อน ๆ ว่ามีร้านแว่นตาร้านหนึ่งในเมืองไทย ที่ทำแว่นตาโปรเกรสซีฟได้ดีกว่ายุโรป ใส่ได้ดีกว่า สบายกว่า เหมือนวัยหนุ่มสาว ทำให้ชื่อเสียงโด่งดังถึงเมืองนอก มีลูกค้าจากยุโรปหลายรายมาทำแว่นตาโปรเกรสซีฟกับผม มาขอโทษเพราะรู้สึกผิดที่เคยดูถูกอยู่ในใจว่า คุณภาพคงไม่ดีเท่าไหร่ เพราะเห็นราคาไม่กี่หมื่นกว่าบาทก็นึกแล้วว่าต้องห่วยแน่ๆ แต่เมื่อได้ใส่แล้วกลับเหนือกว่าแว่นอันละแสนที่เขาเพิ่งทำมาจากยุโรป เหตุการณ์ครั้งนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นทำให้คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ให้โลกรู้ ว่า คนไทยตรวจวัดสายตาประกอบแว่นโปรเกรสซีฟไฮเอนด์ได้ดี
แผนงานในอนาคต
นอกจากเป็นศูนย์ตรวจวัดสายตาประกอบแว่นโปรเกรสซีฟไฮเอนด์ระดับ โลกแล้ว ผมอยากจะดูแลสายตาของผู้คนตั้งแต่แรกเกิดจนถึงบั้นปลายของชีวิต โดยจัดให้มีศูนย์ดูแลสุขภาพสายตาเด็กเล็ก ศูนย์ดูแลสุขภาพสายตาเด็กวัยเรียน ศูนย์ดูแลสุขภาพสายตาคนวัยทำงาน และศูนย์ดูแลสุขภาพสายตาผู้สูงอายุ Doctor of Optometry และจักษุแพทย์ งบประมาณในการลงทุนกว่า 300 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด ไม่จ่ายยา ไม่ผ่าตัด ไม่วินิจฉัยโรค แต่เป็นศูนย์ตรวจสุขภาพสายตาเบื้องต้น และส่งต่อคนไข้ที่ทันสมัยที่สุดในโลก โดยประสานงานกับจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรค เพื่อคุณภาพการมองเห็นที่ดีที่สุดของผู้ใช้บริการทุกท่าน ไม่ใช่แค่ให้มองเห็นได้ดีที่สุดเท่านั้น แต่เพื่อให้คงการมองเห็นที่ดีที่สุดไว้ให้ได้นานที่สุด
ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะงานยุ่งแค่ไหน ปรมาจารย์โบบิ ยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ ดูแลลูกค้าด้วยตัวเองที่ศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติกเกือบทุกวัน สำหรับคอกาแฟที่จะแวะมาเยี่ยมชมศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก ควรงดดื่มกาแฟหนึ่งวันเต็ม เพราะกาแฟที่นี่ เป็นกาแฟระดับไฮเอนด์ที่ขึ้นชื่อว่าอร่อยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
ปัจจุบัน ศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก ได้ย้ายมาอยู่
อาคาร AIA CAPITAL CENTER ( AIACC ) ชั้น 2 โซนร้านค้าหน้าตึก ถ.รัชดาภิเษก เลยสถานทูตจีน 20 เมตร ติดกับ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แห่งใหม่ และ อยู่ก่อนถึงสถานีรถไฟฟ้า MRT สถานี ศูนย์วัฒนธรรม 120 เมตร
เปิดวันอังคาร - วันเสาร์ เวลา 10:00 - 19:00 น.
หยุดทุกวันอาทิตย์ และวันจันทร์
โทรนัดเวลา : 086 - 565 - 5711 หรือ 086 - 970 - 0794
( เพื่อให้ได้รับคุณภาพการบริการในระดับสูงสุด กรุณานัดล่วงหน้า )