โลกของโบบิ ผู้สร้างมาตรฐานใหม่ของแว่นสายตาระดับไฮเอนด์ อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของคนไทยในระดับโลก
ถ้าเราสามารถทำให้คนทั้งโลก มองเห็นได้ดีที่สุด และรักษาคุณภาพการมองเห็นไว้ได้นานที่สุด มันคงจะดีมากนะ นี่คือความฝันของเด็กน้อยโบบิ เมื่อเกือบสี่สิบปีก่อน
หลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสายตชั้นนำหลายพันคน เรียกเขาว่า Master Bobi หรือปรมาจารย์โบบิ ผู้คิดค้นวิธีการตรวจวัดสายตา ประกอบแว่นโปรเกรสซีฟขั้นสูงแบบทวีคูณ ที่สร้างมาตรฐานใหม่ของแว่นโปรเกรสซีฟไฮเอนด์ นอกจากใช้เวลาส่วนใหญ่ดูแลลูกค้าด้วยตัวเองที่ศูนย์แว่นตาไอซอฟติกแล้ว ปรมาจารย์โบบิยังสอนลูกศิษย์ ผ่านทาง www.acpthai.com เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Advance Progressive Addition Lenses Club ( APC ) ที่เขาก่อตั้ง และพัฒนาจนกลายเป็นเว็บไซต์ด้านการประกอบแว่นโปรเกรสซีฟขั้น สูงที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในหมู่ผู้ประกอบวิชาชีพด้านแว่นสายตาใน ระดับสากล
วันนี้เขาสามารถพิสูจน์ให้ผู้ใช้แว่นสายตาระดับไฮเอนด์หลาย หมื่นคน จากยุโรป อเมริกาเหนือ แอฟริกา ออสเตรเลีย เอเชีย ได้ประจักษ์แก่ตาตนเองว่า คนไทย ตรวจวัดสายตาประกอบแว่นโปรเกรสซีฟไฮเอนด์ได้ดี ที่ไอซอพติก ศูนย์แว่นตาไฮเอนด์ระดับโลกที่ขึ้นชื่อเรื่อง แว่นตาอันละแสน สั่งทำเป็นเดือน วัดสายตาแม่นยำ
กับคนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ย่อมมีคนอยากเข้าไปศึกษารายละเอียดของความสำเร็จนั้น ๆ แต่ใครจะรู้ ว่าผู้ชายคนนี้มีอะไรมากกว่าที่คุณเห็น ลองปรับสายตา และตัวคุณให้เข้ามาใกล้อีกนิด คุณอาจจะได้เห็นบางแง่มุมในชีวิตของเขาอย่างเข้าใจ และชัดเจนขึ้น
ความทรงจำอันแสนประทับใจในวัยเด็กของ ปรมาจารย์โบบิ
ผมมีพี่น้อง 8 คน ชาย 6 หญิง 2 ผมเป็นคนที่หก ตั้งแต่จำความได้ ข้าวไข่เจียวนี่ถือ เป็นสุดยอดอาหาร ผมโชคดีมากที่ได้ตั้งไข่ หัดเดินในร้านแว่นของคุณพ่อ ได้ซึมซับความรู้ เทคนิคชั้นสูง ในการทำแว่นให้ดีที่สุดด้วยเครื่องมือทันสมัย เกาะโต๊ะชะเง้อดูทีมช่างคร่ำเคร่งประกอบแว่นตาอย่างประณีตบรรจง เสิร์ฟน้ำให้ลูกค้าจากทั่วทุกสารทิศที่นั่งรอคิวเพื่อตรวจวัดสายตาจนแทบไม่ มีที่ยืน แม้ราคาจะแพงกว่าร้านแว่นตาทั่วไป แต่ลูกค้าทุกคนต่างประทับใจในคุณภาพ และบริการ หลายครั้งที่ลูกค้าถามคุณพ่อว่า " แว่นราคาแพงขนาดนี้ ถ้าใส่ไม่สบายจะทำไง " คุณพ่อยิ้มกว้างแล้วตอบว่า ใส่ไม่สบาย...ไม่คิดเงิน พอรับแว่นไปใส่ยิ้มอย่างมีความสุขแล้วขอบคุณที่คุณพ่อทำแว่นตาให้มองเห็นชัด และใส่สบาย เกือบทุกวันจะมีลูกค้านำผลไม้อย่างดีที่สุดจากสวนที่ปลูก
เองมาฝาก ทุกคนรัก และให้เกียรติคุณพ่อมาก แม้หลายท่านจะย้ายไปทำงานในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน ก็ยังเดินทางไกลย้อนกลับมาใช้บริการที่ร้านของคุณพ่อเป็นประจำเกือบทุกปี
ทำไมครอบครัว ปรมาจารย์โบบิ ถึงเชื่อพระเจ้า
เรื่องมันยาวนะ คุณปู่เป็นหมอฟันอพยพมาจากเกาะไหหลำ คุณปู่ชอบธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร เลยไปทำสวนยางพาราที่ เขาหน้าหมี อำเภอในสระ จังหวัดกระบี่ คุณพ่อเกิด และเติบโตในสวนยาง พอเป็นหนุ่มคุณพ่ออยากค้าขาย จึงขออนุญาตคุณปู่ไปเรียนวิชาช่างนาฬิกา และช่างแว่น แล้วเปิดร้านนาฬิกาแว่นตากับญาติคนหนึ่งที่จังหวัดตรัง กิจการไปได้ดี จนคุณพ่อเจอคุณแม่ที่หาดใหญ่แล้วตกหลุมรัก ตัดสินใจแต่งงานแล้วขอแยกหุ้นส่วนเพื่อเปิดร้านเป็นของตนเอง แต่หุ้นส่วนคุณพ่อบอกว่าเงินสดไม่มี ให้เป็นนาฬิกาแทน คุณพ่อจึงนำนาฬิกาใส่กระเป๋าเร่ขายตามตลาดสดช่วงนั้น ลำบากมาก เพื่อนคุณพ่อคนหนึ่งเป็นคริสเตียนชื่อหมอส้มบอกว่าพระเยซูช่วยได้ให้คุณพ่อ ไปอดอาหารอธิษฐานที่คริสตจักรตรัง ด้วยความรักคุณแม่ที่ท้องแก่ คุณพ่อจึงไปคุกเข่าอดอาหารอธิษฐานกับพระเยซูวิงวอนว่าถ้าพระเยซูช่วยให้ เปิดร้านได้ คุณพ่อจะเป็นคริสเตียน และจะไปประกาศให้คนอื่นรู้ว่าเยซูช่วยได้จริงๆ
อธิษฐานอยู่หลายวันก็ได้ยินเสียงบอกให้ลุกขึ้นไปในตลาด พอเดินผ่านบ้านหลังหนึ่งทำเลค้าขายดีมาก จู่ ๆ ก็มีเจ้าของบ้านเดินตรงเข้ามาหาพ่อผม ถามว่าจะเช่าบ้านเขามั้ย พ่อผมก็บอกตามตรงว่า อยากเช่าร้านไว้ทำแว่น แต่ผมไม่มีตังค์เขาบอกว่า หน้าลื้อไม่ใช่คนขี้โกง อยู่ไปก่อน ค้าขายกำไรแล้วค่อยเอากำไรมาจ่ายค่าเช่า คุณพ่ออัศจรรย์ใจมาก ระหว่างที่กำลังแต่งร้านตรงนั้น คุณพ่อก็ขึ้นมาเรียนการวัดแว่นสายตาเอียงด้วยเครื่องวัดสายตารุ่นล่าสุดจาก เยอรมัน กับอาจารย์ คำรณ ประจักษ์ธรรม ที่หสน.นำศิลปไทย กรุงเทพฯ ท่านมองว่า ธุรกิจแว่นสายตา ดีกว่านาฬิกา เพราะทุกคนเมื่ออายุเกิน 40 ปี ต้องใส่แว่น คุณพ่อตั้งชื่อร้านว่า สว่างการแว่น บริการตรวจวัดสายตาประกอบแว่นแก้สายตาเอียง และตาเขด้วยเครื่องวัดสายตารุ่น ล่าสุดจากเยอรมัน บริการลูกค้าด้วยความซื่อสัตย์ ใช้แต่เลนส์แว่นตา และกรอบแว่นตาคุณภาพดีที่สุด รับประกันความพอใจ ใส่ไม่สบายไม่คิดเงิน สมัยนั้นการทำแว่นแก้ไขสายตาเอียง และตาเข เป็นศาสตร์ลึกลับสำหรับร้านแว่นส่วนใหญ่ในประเทศไทย ร้านสว่างการแว่นจึงมีชื่อเสียงอย่างรวดเร็วว่าราคาจะแพงแต่คุณภาพดีจริง ๆ ภายในเวลาไม่กี่เดือนคุณพ่อก็มีกำไรพอจ่ายค่าเช่า
บ่ายวันนึง คุณพ่อกำลังยุ่งอยู่กับการประกอบแว่นสายตาให้ลูกค้า ก็เห็นคนใส่ชุดขาวหน้าตาดีเดินตรงเข้ามาหา คุณพ่อนึกในใจว่า ลูกสาวใครหนอช่างสวยจริง ๆ แต่ทำไมถึงมีหนวดเคราสีทองแลดูงดงาม คนนั้นเข้ามาใกล้แล้วยื่นผ้าสีชมพูหลายผืนใส่มือคุณพ่อแล้วพูดว่า ความรอดได้มาถึงเจ้า และครอบครัวของเจ้าแล้ว แล้วอันตรธานหายไป คุณพ่อจึงรู้ว่าเป็นพระเยซูมาสำแดงให้เห็นเลยไปหา อาจารย์ วิลเลียม เชาวน์ชูเวช ศิษยาภิบาลที่คริสตจักร เพื่อขอเข้าพิธีรับศีลบัพติศมาถวายตัวเป็นคริสเตียน แต่อาจารย์ วิลเลียม บอกว่าต้องมาเรียนพระคริสตธรรมคัมภีร์ให้ครบหลักสูตรก่อน คุณพ่อจึงเล่าเรื่องที่พระเยซูมาเยี่ยมที่ร้านให้ฟัง อาจารย์วิลเลียมได้ฟังแล้ว จึงยอมทำพิธีบัพติศมาให้คุณพ่อ
คุณพ่อจะทำงานที่ร้านตั้งแต่เช้าตรู่จนมืดค่ำ สัปดาห์ละ 6 วัน แล้วใช้วันหยุดไปตามชนบทหรือหมู่บ้านต่าง ๆ ตามแต่จะได้ยินว่าพระเยซูใช้ให้คุณพ่อไปประกาศความเชื่อที่ไหน ส่วนใหญ่พระเยซูจะทรงนำคุณพ่อไปในพื้นที่เขตอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ ที่ทางทหารเรียกว่าพื้นที่สีแดง ในเขตจังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช กระบี่ รายได้หลักอย่างหนึ่งของคอมมิวนิสต์ในภาคใต้สมัยนั้น คือ จับเถ้าแก่ในเมืองไป เรียกค่าไถ่ นี่เถ้าแก่ในเมืองไปหาถึงที่ ครั้งหนึ่งคุณพ่อไปประกาศที่หมู่บ้านตำบลโคกม่วง พื้นที่ชนบทของจังหวัดตรัง คนร้ายวางแผนจับคุณพ่อไปเรียกค่าไถ่ แต่มีฝรั่งคนหนึ่งมาถามหาคุณพ่อ แล้วเดินทางตามคุณพ่อเข้าไป คนร้าย จึงรอให้ฝรั่งกลับออกมาแล้วค่อยจับคุณพ่อ รอจนเย็นก็ไม่มีใครเห็นว่าฝรั่งกลับออกไปทางไหน หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ คนร้ายจึงไม่กล้าลงมือ เมื่อคุณพ่อกลับออกมา พวกคนร้ายแกล้งถามว่า ฝรั่งที่มาตามหาคุณพ่อหายไปไหน คุณพ่อยิ้มแล้วตอบว่า เป็นทูตสวรรค์ที่พระเจ้าส่งมาคุ้มครองผม พวกคนร้ายจึงล้มเลิกแผนเรียกค่าไถ่ ต่อมาพวกเขากลับใจมาเชื่อพระเจ้า จึงเล่าเรื่องราวที่เคยคิดร้ายกับคุณพ่อให้ฟัง
หลายปีที่คุณพ่อทำแว่นสายตาคุณภาพสูงควบคู่ไปกับการรับใช้พระ เจ้าในชนบทจนเกิดคริสตจักรหลายแห่ง ความเชื่อในพระเจ้าและความมุ่งมั่นในการทำแว่นสายตาของคุณพ่อมีอิทธิพลกับผม มากที่สุด ก่อนนอนทุกคืน คุณพ่อจะจับมือสอนพวกเราทุกคนอธิษฐาน ทุกวันอาทิตย์แปดคนพี่น้อง เดินเป็นพรวนตามคุณพ่อไปนมัสการพระเจ้าที่คริสตจักรตรัง โดยมีคุณแม่ปิดท้าย คุณพ่อสอนพวกเราเสมอว่า ให้สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า ครอบครัวเรามีวันนี้ได้เพราะพระเจ้าทรงอวยพระพร พ่อปลูกฝังผมเรื่องการทำแว่นว่า ทำแว่น ต้องวัดให้แม่น ใช้เลนส์และกรอบคุณภาพที่ดีที่สุด ประกอบให้เที่ยงตรงสวยงามปราณีตที่สุด ถึงราคาจะแพงกว่าแต่คุณภาพดีจริง ลูกค้าก็ซื้อ หลายสิบปีมานี้ ลูกค้าของคุณพ่อหลายหมื่นคนได้พิสูจน์แล้วว่า คำสอนของคุณพ่อเป็นจริง
ปรมาจารย์โบบิ มีประสบการณ์กับพระเจ้าเหมือนคุณพ่อบ้างไหม
เยอะมาก ตอนเล็ก ๆ ผมซนสุด ๆ วันนึงพี่น้อง นั่งกินข้าวไข่เจียวกันอยู่ ผมกินในจานหมด ก็หันไปคว้าไข่เจียวในจานพี่ชาย กินไปวิ่งหนีไปหันมองพี่ชายที่วิ่งไล่ตาม พอหันมาอีกทีก็เพล้ง ตัวหลุดเข้าไปในตู้กระจกแล้ว ตอนนั้นเหมือนวิญญาณออกจากร่างเป็นแล้วนะ ผมจำได้ว่าเห็นแม่อุ้มผมที่เลือดเต็มหน้า ขึ้นรถตุ๊กตุ๊กไปโรงพยาบาล เห็นแค่นั้นแหละ แผลยาว และลึกตั้งแต่หน้าผากพาดผ่านหัวตาและจมูกขาดร่องแร่งถึงริมฝีปาก แผลผมคงติดเชื้อ พอออกจากโรงพยาบาล เลยเป็นไซนัสอักเสบขั้นรุนแรงมาก ปวด ตลอดเวลา
แผลเป็นบนหน้าผมก็ได้มาตอนนั้น บางคนไม่รู้ นึกว่าผมไปมีเรื่องกับจิ๊กโก๋ที่ไหน ( หัวเราะ ) พอขึ้น ม.ต้น มีเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นไซนัสอักเสบไปวิ่งตากฝนแล้วรุ่งขึ้นตาย หมอบอกว่าไซนัสขึ้น สมอง ผมก็เกิดกลัวตายขึ้นมา รายต่อไปต้องเราแน่ ๆ เลยอธิษฐานบอกกับ พระเจ้าของคุณพ่อ พระเจ้าที่เคยช่วยคุณพ่อ วันนี้ผมเดือดร้อน อยากให้พระเจ้าของคุณพ่อช่วยผม แล้วผมจะตามรอยคุณพ่อ จะประกาศเรื่องราวที่พระเจ้าช่วยผมให้คนอื่นฟัง อธิษฐานอย่างนี้อยู่หลายเดือน ไซนัสอักเสบก็หายขาด ผมก็ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับพระเจ้า
สองปีต่อมา ผมเล่นบาสแล้วเพื่อนวิ่งมากระแทกข้างหลัง ร่วงลงมาหลังฟาดพื้น เจ็บหลังมากกะเผลกกลับบ้านแต่ไม่บอกใคร ตื่นเช้าขึ้นมาลุกจากที่นอนไม่ได้ ตกใจมาก แม่พาไปโรงพยาบาลถึงได้รู้ว่าหมอนรองกระดูกร้าว รักษาทั้งสมุนไพรจีน กายภาพบำบัดก็ยังไม่ดีขึ้น ก็อธิษฐานขอพระเยซูรักษา สารภาพว่าคราวที่แล้วผิดสัญญา คราวนี้รับรองไม่เบี้ยว ( ยิ้ม ) ขอเพียงรักษาให้เป็นปรกติ จะถวายตัวเป็นผู้ประกาศแน่นอน อดอาหารอธิษฐานอยู่สามวัน ก็รู้สึกร้อนวูบ ๆ ที่หลัง ลองเดินดูก็เดินได้ ปรกติ วิ่งเล่นได้ปร๋อเลยผมก็ยอมแล้วไง จะไปเป็นผู้รับใช้พระเจ้าล่ะ
พอพี่ ๆ เริ่มกลับมาช่วยงานที่ร้านแทนผมได้ ก็ขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่ มาเรียนเป็นผู้รับใช้พระเจ้า หลักสูตร 4 ปี ที่สถาบันกรุงเทพคริสตศาสนศาสตร์ สุขุมวิท 101/1 ตำรากับอาจารย์ส่วนใหญ่เป็นต่างประเทศ ผมเลยได้ภาษาอังกฤษที่นั่นแหละ
แล้วทำไมถึงไม่ได้ทำงานรับใช้พระเจ้าอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก
เกิดวิกฤตทางการเงินที่บ้าน ต้องกลับมาช่วยกู้สถานการณ์ ตอนนั้นเก็บหน่วยกิตปีสุดท้ายครบหมดแล้ว เหลือแค่วิทยานิพนธ์ พี่ชายคนที่สองขยายสาขาที่สาม และสี่เร็วเกินไป หมุนเงินไม่ทัน เป็นปีที่ซัดดัมบุกคูเวต ยอดขายของร้านดิ่งเหวเหลือเดือนละสามหมื่นบาท เงินสดทั้งหมดถูกนำไปซื้อที่ดินเพื่อเปิดร้านสว่างการแว่น สาขาที่สี่ตรงหาดเฉวง เกาะสมุย แต่ไม่มีเงินตกแต่งร้าน สรุปว่าต้องหาเงินสดให้ได้ 2 ล้านภายใน 30 วัน เพื่อนำเงินไปจ้างผู้รับเหมาตกแต่งร้านสว่างการแว่น สาขาหาดเฉวง ให้เปิดขายได้เร็วที่สุดเพื่อนำเงินมาหมุนเวียน ถ้าร้านเปิดไม่ได้ก็ไม่มีเงินส่งดอกส่งต้นกับธนาคาร ที่ดินกับร้านจะโดนยึดทรัพย์ขายทอดตลาด เช็คเริ่มเด้งจนซัพพลายเออร์ไม่ยอมส่งสินค้าให้อีก
พี่ชายคนที่สองขึ้นมาหาผมที่กรุงเทพฯ ปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี ผมก็ขอเวลาคิด แล้วคุกเข่าตั้งจิตอธิษฐานกับพระเจ้าว่า หากพระเจ้าประสงค์ให้กลับไปช่วยกู้ธุรกิจครอบครัว ก็ขอให้งานรับใช้พระเจ้ามีอุปสรรค พอดีเกิดวิกฤตศรัทธาบางอย่าง ไม่ใช่ในความเชื่อ แต่ในสถาบัน ในบุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานรับใช้พระเจ้า ผมตัดสินใจเก็บของ เดินทางไปเกาะสมุย ไปถึงดู cash flow ก็พบว่าสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คิดไว้แต่แรกมาก
ไม่มีเงิน ไม่มีเครดิต ก็ต้องเปลี่ยนสินค้าที่มีอยู่ในร้านให้กลายเป็นเงินสด ใกล้ตรุษจีนพอดี จัดเลย ไชนีส แกรนด์เซล ที่ร้านบนเกาะสมุย สิบกว่าปีก่อนที่นั่นไม่รู้จักโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย ผมเป็นเจ้าแรก ก็ลุยเตรียมงานคืนเดียวเสร็จ ตอนเช้าขึ้นป้ายโฆษณาลดกระหน่ำฉลองตรุษจีน เปิดเพลง I hate myself for loving you ที่กำลังฮิต ๆ เอา ผ้าแดงปูโต๊ะ วันแรก ๆ เรียงแว่นกันแดด นาฬิกา ขายดีมาก คราวนี้เอามันทุกอย่างทั้งกล้องถ่ายรูป เครื่องคิดเลข หน้ากากดำน้ำ เครื่องกีฬา เรียกว่าขายทุกอย่างที่ซัพพลายเออร์ที่ยังให้เครดิตเราอยู่ หมุนเงินกันตัวเป็นเกลียว เราขายได้ 2 ล้านภายในเดือนแรก ได้กำไรมาหนึ่งล้านบาท พี่ชายผมนั่งยิ้มทั้งวัน ทอนเงินแทบไม่ทัน ส่วนผมก็ดีใจนะที่ช่วยเขาได้ เพราะเห็นเขาหน้าดำคร่ำเครียดมานาน ก็นำเงินที่ขายของได้ทั้งสองล้านไปแต่งร้านสว่างการแว่น หาดเฉวงจนเสร็จ เปิดร้านขายของได้ มีเงินหมุนเวียนพอหายใจได้บ้าง ส่วนตัวผมต้องบริหารร้านสว่างการแว่น หน้าทอน และหาเงินมาจ่ายค่าสินค้าที่เครดิตมาจากซัพพลายเออร์ ทั้งยังต้องส่งสินค้าช่วยพี่ชายจนเขาตั้งตัวได้อีกครั้ง เหนื่อยสายตัวแทบขาด จ่ายเงินค่าสินค้าทุก 1 ล้านบาท สินค้าให้พี่ชายไปขายครึ่งหนึ่งแต่ผมต้องจ่ายซัพพลายเออร์ 1 ล้าน เงินค่าสินค้าก็ไม่เคยได้คืน แต่ภูมิใจนะที่ได้ทำเพื่อครอบครัว ตอนนั้นผมเพิ่งจะอายุ 23
พอขี่หลังเสือแล้วหาทางลงไม่ได้จนถึงวันนี้ ผมตั้งใจไว้ว่าอีกแปดปีอยากเกษียณตัวเองจากการทำธุรกิจแล้วกลับไปรับใช้พระ เจ้าตามที่ได้สัญญาไว้ อยากใช้เวลา และพลังที่เหลืออยู่ช่วยคนรุ่นต่อไปให้ค้นพบพลังอันยิ่งใหญ่ของ พระเจ้าที่ซ่อนอยู่ในมนุษย์แต่ละคน อยากเขียนหนังสือหลายเล่มอยากทำเว็บไซต์เพื่อช่วยคนทั้งโลกให้ค้นพบตัวเอง
ใคร ๆ มักมองคุณว่าเป็นคนแปลก ตรงไปตรงมาจนน่ากลัว และมั่นใจเกินเหตุ จริง ๆ แล้ว ปรมาจารย์โบบิ เป็นคนแบบไหน
ผมเป็นพวกสุดขอบ สุดโต่ง เชื่ออย่างไรก็จะทำสุดหัวใจไปเลย ไม่มีสีเทา ไม่มีสายกลาง ถ้าไม่ขวาก็ซ้าย ถ้าจะทำอะไรสักอย่างก็ต้องทำให้ได้ดีที่สุด ประมาณแบบทุ่มทุนสร้าง ทุ่มชีวิตสร้าง เอาชีวิตทั้งชีวิตลงไปแลกเลย หลายปีมานี้ผมคิดอยู่เรื่องเดียวว่า ทำอย่างไรให้แว่นสายตาของไอซอพติกทุกอันเป็นแว่นตาที่ดีที่สุดในโลก ผมมีวันนี้ได้เพราะผมเป็นของผมแบบนี้ เกิดมาแบบนี้ หลายคนบอกว่าผมมั่นใจในตัวเองเกินไป ก่อนผมจะมั่นใจในอะไรก็ตาม ผมคิด ตรึกตรองเป็นหมื่นครั้งนะ แล้วเป็นคนตรงมากจนคนส่วนใหญ่คิดไม่ถึง เข้าใจว่าผมเป็นคนขวานผ่าซาก เขาเข้าใจผิดนะ จริงๆ แล้วผมเป็นคนซากผ่าขวาน ไม่ใช่ขวานผ่าซาก คนทั่วไปถ้าต้องสู้กับใครสักคนหนึ่ง คำนวณแล้วสู้ไม่ได้ เขาก็จะไม่สู้ เพราะเขาคิดว่าเขา คือ ขวาน ถ้าข้างหน้าเป็นซากเขาก็จะผ่า แต่ถ้าข้างหน้าเป็นเหล็กกล้าซึ่งไม่มีทางที่เขาจะผ่ามันได้ เขาก็จะถอย แต่ผมเป็นคนที่เอาซากไปผ่าขวาน เพราะผมเชื่อว่าซากมีความเร็วมากพอ อย่าว่าแต่ขวานเลย กำแพงเหล็กกล้าก็ผ่าได้ ผมเป็นคนที่พร้อมจะตายเพื่อสิ่งที่ผมเชื่อ โดยไม่เสียใจเลย ผมสอนลูกศิษย์ผมว่า " ถ้าเชื่อ ก็ทำได้ทุกสิ่ง " ถ้าคุณเชื่อในอะไรสักอย่างหนึ่ง คุณแน่ใจในผลสำเร็จ คุณมีความรู้สึกอย่างแน่นอนว่าสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในวันนี้ สามารถเป็นไปได้ในวันหน้า ถ้าคุณทุ่มเทมากพอ ถ้าคุณสามารถเติมเต็มสิ่งที่คุณขาดอยู่ ด้วยสิ่งที่คนอื่นมี ถ้าคุณสามารถสร้างทีม และรวมใจพวกเขาเป็นหนึ่ง ในโลกนี้แทบจะไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณมีความเชื่ออย่างแรงกล้าและมีการบริหารจัดการที่ดี คุณสามารถย้ายภูเขาทั้งลูกไปไว้กลางทะเล ซึ่งเกิดขึ้นแล้วนะที่ดูไบ
มีคนไม่เข้าใจคุณบ้างไหม
ตลอดเวลานะ แม่ผมเคยบอกว่าผมเกิดผิดบ้าน ในพี่น้อง 8 คน นิสัยของผมไม่เหมือนใครเลย ผมกล้าที่จะฝันตั้งแต่เด็กว่าผมจะทำแว่นที่ดีที่สุดในโลก ชอบเล่าความฝันของผมให้คุณแม่ และพี่น้องผมฟัง ทุกคนลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า ผมฝันกลางวัน มีเพียงคุณพ่อผมเท่านั้นที่ท่านฟังแล้วอมยิ้ม บอกผมว่า ถ้าเชื่อ ก็ทำได้ทุกสิ่ง ในวัยเด็กมีเพียงคุณพ่อกับพระเจ้าเท่านั้นที่เข้าใจผม ก็เหงามากนะ ผมมองเห็นอนาคต เห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น พอผมบอกพวกเขาว่าผมเห็นอะไร พวกเขาไม่เชื่อ พากันหัวเราะเยาะ ก็มีเสียใจบ้างแต่ไม่โกรธนะ รู้ว่าเขารัก และเป็นห่วงเรา
ผมโตมากับแผลในใจที่คุณยายผมสูญเสียการมองเห็น ตอนผมเกิดคุณปู่ คุณย่า และคุณตา ท่านเสียหมดแล้ว มีคุณยายคนเดียว เห็นคุณยายทีไรก็จะรับรู้ว่าคุณยายไม่มีความสุข เลยอยากทำให้คุณยายมองเห็น ตอนนั้นรู้แค่นั้น ฝันตามประสาเด็กคนหนึ่งว่าถ้าสามารถทำให้ใครสักคนทีกำลังสูญเสียการมองเห็น ให้กลับมามองเห็นได้ดีขึ้น คงจะดีมากนะ
ผมแค่แปลกใจว่า เฮ้ย...ทำไมคุณมองไม่เห็นในสิ่งที่เราเห็น คือ ผมมองว่ามันง่ายนะ มันไม่มีอะไรเลยแต่บางทีมันก็เหงาเหมือนกัน ในโลกที่คุณเห็นทางอนาคตแล้วคนอื่นมองไม่เห็น แล้วมันยากที่จะคุยกับเขา ให้เห็นในสิ่งที่เราเห็น โดยเขาอาจจะไม่เชื่อ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของเขา
วัยเด็กผมมีเพื่อนสนิทน้อยมาก คุยกับเพื่อน ๆ ไม่รู้เรื่อง ผมไม่ชอบคุยกับพวกเขาเพราะคุยกันแต่เรื่องไร้สาระ ผมเลยชอบเล่นกับเด็กที่โตกว่า ชอบคุยกับผู้ใหญ่ ตอนผมอายุยี่สิบสี่ เพื่อนสนิทผมส่วนใหญ่มีลูกชายอายุมากกว่าผมเสียอีก ผมชอบคุยแค่สามเรื่อง หนึ่ง คือ คุยแล้วทำให้เราฉลาดขึ้น รอบรู้มากขึ้น สอง คือ คุยแล้วทำให้เรามีช่องทางทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จมากขึ้น สาม คือ คุยแล้วสนุกสนาน
วันนี้ผมยิ้มให้กับพระเจ้า และตัวเองทุกครั้งเมื่อมองย้อนกลับ ไป ภาพที่ผมเคยเห็นในวัยเด็กกลายเป็นความจริงที่ศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก และผมมีความสุขกับการได้ใช้เวลาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารระดับสูงสุดขององค์กรขนาดใหญ่ ความรู้ที่ผมได้รับจากท่านเหล่านี้ยิ่งใหญ่กว่าความรู้ที่ได้จากตำราอย่าง เทียบกันไม่ได้นะ
มีความฝันที่ใหญ่กว่าไหม
เยอะมาก ทุกวันนี้ผมยังคงมีความฝัน มีเป้าหมายสำคัญแน่นอนที่จะทำให้สำเร็จ ฝันอยากขยายศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติกให้มีห้องตรวจวัดสายตา 100 ห้อง มี Doctor of Optometry ประจำ 100 ท่าน มีจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางครบทุกโรค เพื่อรองรับผู้ใช้บริการจากทั่วโลกได้อย่างสะดวก รวดเร็ว มีคุณภาพดีที่สุดในโลกได้ไม่น้อยกว่าวันละ 1,000 คน เป็นศูนย์รวมเลนส์แว่นตาระดับไฮเอนด์ที่ดีที่สุดในโลก มีกรอบแว่นคุณภาพสูงทุกแบรนด์ ทุกรุ่น ทุกคอลเลคชั่น บนพื้นที่ 10,000 ตารางเมตร อยากเช่าตึก ERAWAN BANGKOK ทั้งตึกนะ ถ้าไม่พออาจต้องเช่าตึกอัมรินทร์อีกตึกนึง ผมอยากให้โลกรู้ว่า ถ้าต้องการแว่นสายตาระดับสุดยอด ต้องทำที่ศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก ERAWAN BANGKOK สี่แยกราชประสงค์เท่านั้น อยากพิสูจน์ให้โลกรู้ว่า คนไทย ตรวจวัดสายตาประกอบแว่นโปรเกรสซีฟไฮเอนด์ได้ดีที่สุดในโลก หลังจากนั้นอาจเปิดศูนย์บริการย่อยไอซอพติก ที่ดูไบ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ โตเกียว โคเปนเฮเก้น มิวนิค และมหานครหลักๆ ของโลก เพื่อบริการลูกค้าทั่วโลกหลังการขาย
นอกจากฝันเรื่องศูนย์แว่นตาไฮเอนด์ที่ใหญ่และดีที่สุดในโลกแล้วยังมีความฝันอื่นอีกไหม
ความฝันของผมถ้าเขียนเป็นหนังสือคงหนากว่า ผู้หญิง สามเท่านะ เอาเรื่องใกล้ตัวตรงสี่แยกราชประสงค์ดีกว่า ผมตั้งบริษัท ไฮเอนด์อินเตอร์ จำกัด ขึ้นมา เพื่อรวบรวมสินค้า และบริการระดับไฮเอนด์จากทั่วทุกมุมโลก จับกลุ่มเป้าหมายคนที่รวยที่สุดหนึ่งล้านคนแรกของโลก สี่แยกราชประสงค์นี่แหละทำเลสวยสุด ตึกเกษรเหมาะที่สุดขนาดกำลังดีที่จะทำ Hi-End Shopping Centre ภายใต้แนวคิด
" Hi-End Life , Hi-End Product , Hi-End Shopping Centre " สินค้า และบริการทุกชิ้นเป็น Better Life Guaranteed ซื้อแล้วถ้าชีวิตไม่ดีขึ้น ยินดีคืนเงิน รับประกันว่าสินค้า - บริการ ทุกอย่าง ทุกชิ้น คุณภาพระดับสุดยอด ดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว อยากได้อะไรที่ไฮเอนด์ สุดยอด ที่สุดของที่สุด ที่นี่ที่เดียวจบ อยากได้อะไรก็แค่โทรเข้า Hi-End Call Centre สั่งได้ทุกอย่าง อยากได้กระเป๋าหลุยส์ สั่งทำพิเศษใบละล้าน อยากได้นาฬิกา PATEK สั่งทำหน้าปัทม์เป็นรูปครอบครัว เรือนละห้าสิบล้านบาท สั่งได้หมด เป็นศูนย์รวมอาหารระดับไฮเอนด์ ปลาตัวละล้าน สเต็กจานละหมื่น ไวน์ขวดละแสน แตงโมลูกละพัน รถสปอร์ตคันละสองร้อยล้าน เสื้อตัวละล้าน ประมาณว่าเป็นสวรรค์แห่งการช๊อปปิ้งที่ดีที่สุดของบรรดามหาเศรษฐีทั่วโลก มีพันล้านช๊อปครึ่งวันหมด ผมไม่ชอบ Paragon เพราะใหญ่เกินไป ไม่เหมาะจะทำ Hi-End Shopping Centre ตึกเกษรนี่แหละขนาดกำลังน่ารักเลย
พอเดินข้ามฝั่งมา ERAWAN BANGKOK ก็เป็น ISOPTIK : The World Best Hi-End Eyeglasses Centre ไง ( ยิ้ม ดวงตาเป็นประกายอย่างมุ่งมั่น ) แล้วก็อยากเห็นตึกอัมรินทร์กลายเป็นศูนย์ Hi-End OTOP Centre นะรวมสุดยอดสินค้าและบริการของไทย ประกาศให้คนทั้งโลกรู้ไปเลยว่าคนไทยเก่ง พวกเราตัวเล็กก็จริงแต่สมองใหญ่นะ ผมมั่นใจว่าคนไทยฉลาดกว่าฝรั่ง ( หัวเราะ ) แบบว่าคนไทยเราต่างคนต่างเก่งเลยชอบลุยเดี่ยวไง แต่ฝรั่งเขารู้ว่าฉลาดน้อยกว่าเราเลยต้องจับมือทำงานกันเป็นทีมใหญ่
คุณเรียนเก่งไหม สมัยเด็ก ๆ
ไม่เลย ( ลากเสียงยาว ) รู้สึกว่าโรงเรียนมันน่าเบื่อ เพื่อน ๆ ก็คุยเรื่องอะไรกันก็ไม่รู้ ฟังครูสอนแล้วรู้สึกน่าเบื่อ พาลไม่อยากเรียน ไม่อยากทำการบ้าน เรียกได้ว่าไม่ให้ความร่วมมือกับคุณครูเลย มองย้อนกลับไปรู้สึกผิดนะที่ทำให้คุณครูหนักใจ เพราะทราบดีว่าคุณครูอยากให้เราได้ดี
คุณพ่อคุณแม่ท่านอุตส่าห์ให้เรียนโรงเรียนบูรณะรำลึก ซึ่งสมัยนั้นถือว่าดีที่สุดในจังหวัดตรัง เป็นโรงเรียนที่ระเบียบจัดมาก นักเรียนทุกระดับชั้นห้ามขี่มอเตอร์ไซด์ นักเรียนผู้หญิงห้ามใส่เสื้อยืด ห้ามใส่กางเกงขาสั้น เพราะว่าโป๊ ห้ามซอยผม ถ้าผมยาวให้ถักเปียได้ คืออะไรที่เกี่ยวข้องกับความฟุ่มเฟือยใด ๆ ทั้งหมด จะห้ามเด็ดขาด ผมเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่อนุบาลจนถึง ม.3 เท่าที่จำได้ไม่มีวันไหนที่ผมไม่โดนตี แล้วเรื่องที่โดนตีส่วนใหญ่ไม่ค่อยซ้ำด้วย ถูกตีจนชินชา สัมปทานไม้เรียวหน้าเสาธงนี่ผมผูกขาด ผลการเรียนก็ระดับรองบ๊วยตลอด คือไม่ฟังครูสอน ไม่ทำการบ้าน ไม่อ่านหนังสือ เลยไม่มีคะแนนเก็บ แต่เวลาสอบ final สอบได้นะ สอบผ่านทุกที คะแนนดีด้วย ( หัวเราะ )
แต่พอเวลาผ่านไปตอนอยู่ ม.1 ก็มีจุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในชีวิต อาจารย์ทุกคนจะมองผมว่าไม่เอาถ่าน เป็นเด็กที่ไม่ให้ความร่วมมือกับทางโรงเรียนเลย ดื้อด้วย สิ่งไหนที่เราอยากทำ จะตีให้ตายยังไงผมก็จะทำ วันหนึ่งอาจารย์ใหญ่ ชื่ออาจารย์มารศรี สอนวิชาคณิตศาสตร์ ผมก็นั่งฟังอาจารย์สอนพลางคิดในใจว่าทำไมต้องไปคิดอะไรให้มันวุ่นวาย ตั้ง 10 บรรทัดกว่าจะได้คำตอบสักข้อ ทำไมต้องทำเรื่องง่ายให้ยาก ผมคิดของผม 3 บรรทัดก็ได้คำตอบเหมือนกัน อาจารย์ถามว่า มีใครไม่เข้าใจบ้าง ผมยกมือขึ้นทันทีแบบไม่ได้ตั้งใจยกนะ สมองไม่ได้สั่ง แต่ใจสั่งมา ผมลุกขึ้นอย่างมั่นใจบอกอาจารย์ว่า ผมมีวิธีคิดอีกแบบ อาจารย์ทึ่งมาก เรียกผมออกไปหน้าชั้นแล้วให้ผมเขียนวิธีคำนวณของผมบนกระดานดำ ผมก็เขียนให้ทุกคนดู อาจารย์ประหลาดใจแต่ยอมรับว่าวิธีของผมถูกต้อง ที่ตลก คือ ผมคิดของผมเอง เหมือนเป็นปัญญาจากเบื้องบน ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าตกลงกลางกบาลอย่างนั้นแหละ ที่ตลกที่สุด คือ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมถูกเรียกออกมาหน้าชั้นแล้วไม่ถุกทำโทษ ( หัวเราะ ) หลังจากนั้นก็เลยเริ่มตั้งใจเรียนมากขึ้น เริ่มสนุกกับการคิดนอกกรอบ พยายามคิดให้ไกลกว่าที่ครูสอน เริ่มขลุกอยู่ในห้องสมุดได้ทั้งวัน อ่านประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์สากล จนกลายเป็นคนชอบศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ เริ่มสนใจปรัชญา แล้วอ่านหนังสือเร็วมาก ความที่หนังสือในห้องสมุดเยอะแล้วอยากอ่านหลายร้อยเล่ม เลยกลายเป็นคนอ่านหนังสือเร็วมาก อ่านทีละสามบรรทัด อ่านแบบสแกนเนอร์เลย ความรู้จากการอ่านมีส่วนสำคัญมากในความสำเร็จของผมในวันนี้
หลังจากนั้นอาจารย์มองเราเปลี่ยนไปจากเดิมไหม
อาจารย์เริ่มมองเห็นศักยภาพในตัวผมนะ เริ่มเข้าใจผมมากขึ้น ให้โอกาสเป็นตัวแทนของโรงเรียนไปทำกิจกรรม เพื่อน ๆ โหวตให้เป็นหัวหน้าชั้น ในวัยเด็ก ถ้าเรามีใครที่เป็นเข็มทิศสักคน ก็จะช่วยเหลือเราได้เยอะเลยนะ เพราะผมมองว่าในปัจจุบันวัยรุ่นเคว้งเยอะ หาตัวเองไม่เจอ ปล่อยให้วันเวลาผ่านไปอย่างไร้ค่าไร้จุดหมาย
ผมเคยอิจฉาเด็กที่เรียนเก่ง ได้เกรดสูง สอบได้ที่ 1 ตลอด แต่พอตอนนี้ผมมาถึงตรงนี้แล้ว มองย้อนกลับไปที่เพื่อน ๆ ที่ผมเคยอิจฉา ตอนนี้เขากลับอยู่ห่าง และล้าหลังผมมาก ทั้ง ๆ ที่ผมเคยคิดว่าคนที่เรียนเก่งน่าจะประสบความสำเร็จในการทำงาน แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด ผมว่าถ้าเราฝึกให้เด็กรุ่นต่อของเราคิดเป็น ต่อยอดเป็น แล้วทุ่มเททำอย่างมุ่งมั่น เด็กไทยไม่แพ้ใครในโลกนะ ถ้ามีผู้นำทางที่ดี
คุณคิดยังไงกับเรื่องนี้ที่คนเรียนเก่งใช่จะประสบความสำเร็จเสมอไป
ผมคิดว่าหลายคนเข้าใจผิด คิดว่าการเรียนเก่งคือความสำเร็จของชีวิต และเป็นกุญแจของความสำเร็จของชีวิต จึงไปยึดติดกับตรงนั้น แต่ปัญหาของคนที่เรียนเก่ง คือ อย่างเช่นเราเรียนการตลาด ในตำราบอกว่า เมื่อยอดขายตกต่ำให้ลดราคา แถมของแล้วก็โฆษณา ตามตำราให้ทำตามนี้ แต่พอวันหนึ่งมีบริษัทคู่แข่งทำตามแบบเดียวกัน ก็หนีไม่ออก ตำราไม่ได้สอน สุดท้ายเลยต้องดัมพ์ราคาเข้าสู้ กอดคอกันตายหมู่ ผู้บริโภคก็รับกรรมจากคุณภาพการให้บริการที่สาละวันเตี้ยลง เป็นผลเสียต่อทุกฝ่าย ทำอะไรไม่ได้ คิดนอกกรอบไม่เป็นเพราะว่าเคยทำแต่ในข้อสอบ ตามหนังสืออย่างเดียว พอเกิดปัญหาอย่างมากก็กลับบ้านเปิดตำราการตลาด ซึ่งแทบจะหาไม่เจอ อ่านไม่เจอ ว่าต้องทำยังไง กลายเป็นคนที่ทำอะไรไม่ได้ แก้เกมไม่
เป็น คิดได้แค่สามมิติ กว้าง ยาว สูง เดี๋ยวนี้ไม่พอหรอก ต้องคิดได้สี่มิติ มิติพิศวง คิดในสิ่งที่คนอื่นคิดไปไม่ถึง เห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น คนที่คิดได้สี่มิติ คือคนที่มองเห็นอนาคต มองการณ์ไกล คิดล่วงหน้า จึงสามารถนำพาองค์กรให้อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบเสมอ สำหรับผมแล้วมิติที่สี่คือการนำความรู้สามมิติมาต่อยอดเป็นองค์ความรู้ของ เราเอง มิติที่สี่ คือ ปัญหาจากเบื้องบน คนที่จิตใจบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะได้รับปัญญานี้ คนที่ทำทุกอย่างเพื่อเงินจะเข้าไม่ถึงมิติที่สี่ แต่คนที่รู้จักให้และรับจะเข้าถึงครับ
แสดงว่าคุณชอบมองนอกกรอบ
ใช่ ผมชอบมองนอกกรอบ ผมมองว่าหนึ่งปัญหามันแก้ได้หลายวิธี อาจด้วยความที่ผมเป็นนักคิด ชอบคิดอะไรแผลง ๆ คิดได้ตลอดเวลา สามารถคิดได้ 24 ชั่วโมง ผมตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่สมองวิ่งทันที อย่างบางทีระยะเวลาแค่ 5 นาที ผมเดินจากบ้านไปโรงเรียนผมคิดได้ร้อยกว่าเรื่อง คือ สมองผมทำงานเร็วมาก ผมสนุกกับการคิดมาตั้งแต่เด็ก ผมหยุดคิดไม่เป็น ผมชอบคิดทำอะไรให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา
คุณเป็นคนคิดเร็ว แล้วถ้าคนอื่นตามคุณไม่ทันล่ะ หงุดหงิดบ้างไหม
ตลอดเวลา แต่ถ้าสมองผมทำงานเร็วเกินไป ผมก็ต้องหามือหาเท้ามาช่วยเสริม เพราะถ้ามีคนหนึ่งคน เราสั่งงานไปแล้วเขาทำไม่ทัน เราก็ต้องหาคนมาเพิ่มเท่านั้นเอง แต่เราไม่จำเป็นต้องปรับการทำงานของเราให้มันช้าลงนะ เพราะธุรกิจเดี๋ยวนี้มันไปเร็ว ความเร็ว คือ กุญแจดอกหนึ่งที่ไปสู่ความสำเร็จได้ ถ้าคุณทำอะไรได้เร็วคู่แข่งคุณไม่มีทางตั้งรับคุณทันแน่ คู่แข่งผมช็อกได้รายวัน ถ้าคนที่เขาคิดว่าเป็นคู่แข่งผมนะ คือ ผมเป็นคนที่ถ้าคิดจะทำอะไรผมก็ทำ อย่างคิดจะออกคอนเซ็ปโฆษณาใหม่ ออกบิลบอร์ด โปสเตอร์ คิดสามวันผมเสร็จแล้ว
พี่น้องแปดคน ปรมาจารย์โบบิ เป็นลูกคนโปรดหรือเปล่า
เปล่าเลย ตั้งแต่เด็กผมรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าผมเป็นลูกที่พ่อแม่รักน้อยที่สุดแล้วนะ เมื่อเทียบกับลูกคนอื่น ๆ พี่น้อง 8 คน ผมเป็นคนที่ 6 ขนมไหว้พระจันทร์หนึ่งชิ้น ต้องแบ่งกัน คือ ผ่าแบ่งเป็น 8 ส่วน พี่น้องทุกคนต่างคนต่างได้คนละส่วน ผมก็จะค่อยๆ กิน นั่งกินของผมไปอย่างมีความสุข ทีนี้พอพี่กินหมดแล้วเขามาเห็นของผมยังเหลืออยู่ ก็จะมาแย่ง แต่ถ้ามาแย่งผมนะ ผมก็จะชกเอาเท่านั้นแหละ ชกคนตัวโตกว่าผมไม่รู้สึกผิดนะ แล้วเขาก็จะร้องไห้ไปฟ้องแม่ ถ้าไม่ให้ผมก็โดนตี คุณแม่บอกว่าทำไมเห็นขนมดีกว่าพี่ ทำไมไม่ให้พี่ เราเป็นน้องต้องเคารพพี่ โอเค...ตรงนี้ผมเข้าใจ แต่วันต่อมาน้องมาแย่งผม ผมไม่ให้ ผมก็โดนตีอีก แม่ก็บอกว่าเขาเป็นน้อง เราเป็นพี่ต้องให้น้อง เราก็เฮ้ย..อะไรเนี่ย เราเป็นน้องต้องยอมพี่ เราเป็นพี่ต้องให้น้อง เฮ้ย...เราอยู่ตรงกลาง มันยังไงกันแน่ รู้สึกว่าทำไมพ่อแม่ไม่รักเรา มีหลายครั้งที่เสียใจมาก แอบไปนั่งร้องไห้ได้เป็นวัน ๆ น้อยใจมากขนาดจนคิดหาวิธีฆ่าตัวตายสารพัดตามประสาเด็กสิบขวบ คิดเอานิ้วแหย่ปลั๊กไฟก็ไม่กล้ากลัวเจ็บ กระโดดลงคลองห้วยยางก็เหม็น จะวิ่งให้รถชนก็สงสารคนขับต้องติดคุก คิดไปคิดมากลัวไม่ตายแต่พิการ กลัวคนอื่นเดือดร้อน กลัวคุณพ่อคุณแม่โดนคนอื่นว่า " เลี้ยงลูกยังไงถึงฆ่าตัวตาย " เลยไม่เอาดีกว่า ( หัวเราะ ) แต่พอมองย้อนกลับไป มันก็สมควรอยู่หรอก รับขนมมาแล้วจะกินให้หมดๆ ให้จบเรื่อง แต่เราดันมานั่งละเมียดละไมก็เลยกลายเป็นปัญหา
ในส่วนของนิสัยคุณได้รับอะไรมาจากคุณพ่อคุณแม่บ้าง
ส่วนที่ได้รับจากคุณพ่อคุณแม่ คือ ความศรัทธาในพระเจ้า ความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ความตั้งใจในการทำงาน เวลาถูกพี่น้องเอารัดเอาเปรียบ ไม่ว่าเรื่องอะไร ท่านสอนผมว่า จงรักศัตรู จงอวยพรผู้ที่เกลียดชังเรา แล้วพระเจ้าจะอวยพรเรา หลายสิบปีมานี้ เป็นจริงตามคำพ่อทุกประการ คนที่เคยเอารัดเอาเปรียบเราก็ไม่ได้ร่ำรวยขึ้น ครอบครัวเราไม่ได้ยากจนลง คุณพ่อคุณแม่ ท่านเลี้ยงลูกทุกคนได้ดีมาก ๆ ผมไม่ใช่ลูกรักของท่าน แต่ขอเป็นลูกที่เคารพรักท่านมากที่สุด ผมมีความสุขที่ได้ทำให้ท่านภูมิใจกับความสำเร็จของผมในวันนี้
เรื่องราวความรักครั้งแรกของ ปรมาจารย์โบบิ เป็นยังไง
ผมถ้าชอบใครก็จะบอกว่าชอบ ส่วนคำตอบจะเป็นยังไงผมพร้อมจะยอมรับ คือถ้าผมชอบใครสักคน เมื่อผมไปหาเขา แล้วเขาดีใจ ผมจะไปหา แต่ถ้าไปแล้ว เขารำคาญไม่อยากเจอเรา เราจะไม่ไปอีกเลย เพราะผมไม่อยากสร้างความรำคาญ หรือความลำบากใจให้คนที่ผมชอบ เด็ดขาด
ผมอกหักครั้งแรกตอนอายุ 16 ปี ตอนนั้นไปชอบเพื่อนนักเรียนในชั้นเดียวกัน แต่เขาไม่ชอบผม เขาชอบเพื่อนผม ก็แค่นั้น ก็บอกเขานะ แต่เขาไม่ได้ตอบ แต่เราก็ดูอาการออก เพราะเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาชอบเพื่อนผม เราก็ไม่ได้เสียใจนะ เพราะของแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้ หรืออย่างตอนวัยรุ่นอีกเหมือนกัน ยุคนั้นเป็นยุคที่การมีรักในวัยเรียนเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ทุกคนจะมองว่ามีแฟนแล้วมันเท่ เราอยากเท่ก็เลยมองหาว่าคนไหนที่น่าจะพอไปวัดไปวาได้ พอเจอปั๊บ ผมก็เดินหน้าเลย สืบให้รู้ว่าอยู่ห้องไหน พอรู้ปุ๊บ ผมก็ใช้ยุทธการหมาหวงก้าง ก็คือลงทุนทำยังไงก็ได้ที่ใช้เวลาน้อยที่สุดในการขจัดคู่แข่งอย่างถาวร โดยจัดการซื้อดอกกุหลาบสีขาวมา 1 ดอก แล้วก็ไปที่ห้องเขาก่อนอาจารย์เข้า นักเรียนอยู่เต็มห้องเลยนะตอนนั้น เราก็ลุยเข้าไปคนเดียว เดินเข้าไป ยื่นดอกไม้ให้ สำหรับคุณครับ แล้วทั้งห้องจากที่กำลังเจี๊ยวจ๊าวเสียงดังเจอมุกนี้เข้าไปก็เงียบกริบ เสร็จแล้วเราเดินออกมาอย่างสง่างาม และเท่ระเบิด แถมด้วยเสียงโห่ตามมา แล้วในห้องนั้นก็จะมีอยู่ 3 - 4 คนที่จีบเขาเหมือนกัน แต่ก็ยอมยกธงขาวหมด เพราะพอข่าวแพร่ออกไปก็ไม่มีใครกล้าจีบผู้หญิงคนนี้แล้ว ขจัดคู่แข่งได้หมด ตอนนั้นไม่รู้ทำได้ไงนะ ถ้าเป็นสมัยนี้ไม่ไหวแล้ว ไม่ทำเด็ดขาด
คิดอย่างไรกับผู้หญิงที่บอกรักผู้ชายก่อน
ผมชอบนะ เคารพนับถือด้วย ถ้าผู้หญิงรักใครสักคนก็ควรบอกว่ารักนะ ควรซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเอง อย่าโกหกตัวเองว่าคุณรักหรือไม่ได้รักใคร ความรักเป็นสิ่งที่บังคับไม่ได้ มันควบคุมไม่ได้ ความรักเหมือนฟ้าผ่า เราไม่มีทางรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ คุณลองพยายามบังคับตัวคุณเองให้รักใครสักคนสิ ความรู้สึกมันเหมือนเวลาคุณตกหลุมรักใครสักคนจริง ๆ รึเปล่า มันไม่เหมือน
ปรมาจารย์โบบิ คิดยังไงกับการตกหลุมรักใครสักคน
ถ้าคุณเกิดมาในโลกนี้โดยคุณไม่เคยตกหลุมรักใครเลย ผมว่ามันเป็นชีวิตที่น่าเศร้านะหรือถ้าเกิดมาไม่มีใครมาตกหลุมรักคุณสักคนมันก็เศร้าเหมือนกัน คำถามที่ผมอยากจะถามผู้หญิงส่วนใหญ่ คือ ถ้าคุณต้องเลือกระหว่างคุณตกหลุมรักใครสักคน แต่ไม่มีใครมาตกหลุมรักในตัวคุณ กับ มีคนมาตกหลุมรักคุณ แต่คุณไม่ตกหลุมรักใคร คุณจะเลือกอะไร แล้วคุณเคยรักใครหัวปักหัวปำรึเปล่า มันเป็นความรู้สึกที่เลิกไม่ได้เลยนะ ผมว่ามันดีนะที่ได้รักใครสักคนอย่างหัวปักหัวปำ เก็บไปนอนฝัน นั่งเพ้อ ( หัวเราะ )
ผมว่าความรักมันไม่ใช่สิ่งเลวร้าย ตราบใดที่เราไม่ได้ไปยึดว่าถ้าเราตกหลุมรักใคร เราจะต้องได้ครอบครอง ได้แต่งกับคน ๆ นั้น เขาต้องเป็นของฉัน แค่นี้มันก็ไม่มีปัญหาแล้ว การที่เรารักใครขนาดที่ว่าเราสามารถเห็นเขาเดินเข้าพิธีแต่งงานกับคนอื่น แล้วเรายินดีกับเขา เพราะ 1. เขาไม่ได้รักเรา 2. เขาพบคนที่เขารักจริง ๆ 3. เขาเหมาะสมกันจริง ๆ 4. เขากำลังมีชีวิตที่ดีนั้น ถ้าคุณรักเขาจริง ๆ คุณจะไปขวางเขาทำไม ใช่ไหม แต่คุณต้องบอกเขาด้วยนะ การที่คุณรักใครแล้วคุณไม่บอกว่าคุณรัก นี่ผมว่าผิดนะ คุณต้องบอก คุณมีสิทธิ์์ เพราะถ้าเขาแต่งงานแล้วคุณไปบอกนี่ล่ะผิด เพราะคุณไม่มีสิทธิ์์แล้ว จะพูดทำไม พูดให้เขาหย่ากันหรือ ตรงนี้ผมซีเรียสนะ ในมุมมองของผมแล้ว เรื่องความรักมันเป็นอะไรที่ฝืนใจกันไม่ได้
หัวใจ ปรมาจารย์โบบิ วันนี้เป็นของใคร
หัวใจวันนี้เป็นของสาวน้อยบอบบางหัวใจแกร่ง ผมกำลังจะแต่งงานกับคุณทิตย์ธิดา ( คุณฟ่ง ) ในปีนี้ เจอเธอครั้งแรกในงานแต่งงานของญาติ ตอนนั้นผมกำลังสาละวนอยู่กับการดูแลแขก และจัดระเบียบการร้องคาราโอเกะ สาวสวยในชุดราตรีสีม่วงคนหนึ่งมองผมอย่างชื่นชม
หันไปเมื่อไหร่ก็จะเห็นเธอมองมาที่ผมอยู่อย่างนั้น ก็เขินนะ อยากเดินไปหา ขอเบอร์โทร แต่มัวแต่วุ่น ๆ กับการกำกับเวที พอจะปลีกตัวได้เธอหายไปเสียแล้ว เหมือนหัวใจหล่นหายแล้วหาไม่เจอนะ ได้แต่เฝ้าคิดถึงสาวสวยคนนี้ อยากเจอะอยากเจอแต่ไม่รู้จักชื่อ ไม่มีเบอร์โทร ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร อยู่ที่ไหน หลายเดือนต่อมาผมไปเรียนภาษาจีน พอไปเรียนผมก็เจอสาวน้อยในฝันคนนี้อีกครั้ง คราวนี้เธอใส่กางเกงชาวเล เสื้อสีส้ม ผมฟูเหมือนไม้กวาด แต่ผมจำสายตาคู่นั้นได้ พอเลิกเรียนเลยชวนเพื่อนร่วมชั้น ๆ ไปกินกาแฟกัน ใครไปมั่งยกมือ เธอยกคนแรกเลยก็เลยไป ได้คุยกันพอรู้ว่าเธอชื่อ ฟ่ง ผมก็บอกกลางวงเลยว่า คุณฟ่งว่าผมชอบคุณนะ เธอบอกว่าอยู่กันหลายคน ไม่อายหรืออย่างไร คือ นิสัยผมเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถ้าจะชอบใครไม่มีกังวล ผมเดินเข้าหาเลย หลังจากนั้นก็เขียนซีดีเพลงโปรดของผมเอาไปให้เธอฟัง แอบเขียนเบอร์โทรผมเอาไว้บนแผ่นซีดีด้วย ( ยิ้ม ) คืนนั้นเธอส่งข้อความมาว่า " ฉันฟังเพลงแล้ว ชอบมาก จากฟ่ง " ผมได้รับข้อความแล้วหัวใจพองโตรีบโทรกลับไป ยิ่งพอได้คุยก็ยิ่งปิ๊งแอนด์คลิก ว้าว เจอแล้ว นางในฝัน ( ยิ้ม ) เค๊าเก่งนะ ฉลาด เข้าถึงจิตใจผมได้ ผมมีหลายบุคคลิก มีไม่กี่คนที่จะได้รู้จักตัวจริงของผม
แต่คุณฟ่งนี่ ออกเดทกันครั้งที่สาม เผลอมองตาเธอแว๊บเดียว เธอก็เดินเข้ามาสำรวจหัวใจผมเสียทั่วแล้ว ผมยังจำแววตาอันแสนรักเปี่ยมศรัทธาที่เธอมองผมในวันนั้นได้จนถึงวันนี้ อยากให้เธอมองผมด้วยสายตาแบบนั้นอีกทุกวินาทีเลย ( ยิ้มแบบเขินมาก ๆ ) คิดถึงแววตานี้ทีไร ผมนี่นะรู้สึกเป็นหนุ่มขึ้นอีกยี่สิบปี ( หัวเราะเสียงดัง หน้าแดง )
คุณทุ่มเทให้กับงาน และทำงานหนักขนาดนี้ แล้วแบ่งเวลาให้กับคุณฟ่งอย่างไร
ปีแรก ๆ ที่คบกัน ก็มีปัญหาเยอะนะ เพราะผมทุ่มเททั้งชีวิตของผมให้กับงาน และความฝัน ผมก็บอกเธอว่าคิดดูให้ดี ๆ นะถ้าผมแบ่งเวลาให้เธอ ผมก็จะต้องทิ้งความฝัน ผมถามเธอว่าจำลูกค้าชาวสวีเดนซึ่งเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่งอายุประมาณเจ็ดสิบปี ได้ไหมตอนที่เขามารับแว่น พอลองใส่แว่นแล้วเขาก็น้ำตาไหลเลยเขาบอกว่านานมากแล้วที่ไม่สามารถมองเห็น ได้ชัดทุกระยะแบบนี้ และยังบอกอีกว่าจะมาตัดแว่นกับผมทุกปี แต่ถ้าปีไหนไม่เห็นเขาก็แสดงว่าเขาตายไปแล้ว ปีต่อ ๆ ไปเขาก็มาจริงๆ ชาวนอรเวย์อีกราย วันที่มารับแว่นเขาบอกว่าผมเป็นคนแรกในชีวิตของเขาที่ทำให้เขามองเห็นได้ชัด ขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไปตัดแว่นมาแล้วหลายประเทศก็นึกท้อใจแล้วว่าการมองเห็นของเขาก็คง เป็นปัญหาไปตลอดชีวิต และบอกว่าไม่อยากเชื่อเลยว่าคนไทยจะทำแว่นได้ดีขนาด นี้ เขาก็ขอบคุณผมแล้วขอบคุณอีก และครอบครัวของเขาก็มาหาผมทุกคน หลังจากที่เขากลับสวีเดนไปแล้วประมาณหนึ่งเดือนเขาก็อีเมลล์มาบอกว่าแว่นที่ ผมทำให้ดีมาก ๆ และสั่งเพิ่มอีก ผมถามเธอว่ามีความสุขหรือเปล่าเวลาที่ผมสามารถแก้ไขปัญหาการมองเห็นให้กับคนอื่นได้ เธอก็บอกว่ามีความสุข ผมก็บอกว่ารู้ไหมหลาย ๆ คนที่เขามีเงินมากมายแต่ก็ไม่สามารถซื้อการมองเห็นที่ชัดทุกระยะได้ ถ้าหากผมทำได้แต่ผมไม่ทำเนื่องจากผมต้องทุ่มเทเวลาให้คนรัก เราจะไม่เห็นแก่ตัวไปหรือ และอีกอย่างผู้ชายจะประสบความสำเร็จได้อีกปัจจัยหนึ่ง คือ การมีคู่ชีวิตคอยให้กำลังใจ และสนับสนุน เธอก็ O.K และบอกว่าจะช่วยทำให้ฝันของผมเป็นจริง หลายครั้งที่ผมท้อใจเวลาเจออุปสรรค ก็มีกำลังใจระดับสุดยอดจากคุณฟ่งนี่แหละ ที่หล่อเลี้ยงหัวใจให้เข้มแข็ง ฮึกเหิม บ่อยครั้งที่เหนื่อยแทบขาดใจ ได้นอนตักคุณฟ่งสักงีบ กอดคุณฟ่งไว้แน่น ๆ สักพัก ก็มีพลังฟื้นคืนมาใหม่ ( ยิ้ม ) ถ้าไม่มีคุณฟ่งผมก็ไม่มีวันนี้นะ กะว่าอีกแปดปีจะเกษียณแล้วใช้เวลาส่วนใหญ่คอยปรนนิบัติพัดวีดูแลให้คุณฟ่ง เป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลกเลย ( หัวเราะ )
คุณฟ่งกับครอบครัวเป็นคนยังไง
คุณฟ่งเธอเติบโตมากับครอบครัวที่พ่อแม่ทำงานหนักสร้างตัวเอง จากศูนย์ แทบไม่มีเวลาให้กับลูก ๆ จนทุกวันนี้ติดอันดับเศรษฐีพันล้านแล้วกระมัง พ่อคุณฟ่งเป็นคนเก่งมาก เข้มงวดเรื่องกิริยามารยาท สอนให้ลูก ๆ เข้มแข็ง ขยัน อดทน คุณฟ่งรักผมเพราะผมมีหลายอย่างที่คล้ายคุณพ่อของเธอ แม่คุณฟ่งเป็นคนน่ารัก อบอุ่น ใจดีมาก มีอารมณ์ขัน ขยัน ประหยัด จนบางทีผมยังชอบแซวคุณฟ่งเลยว่า ไม่แน่ใจว่าระหว่างคุณฟ่งกับแม่คุณฟ่งเนี่ย ผมรักใครมากกว่ากัน ( หัวเราะ ) เจอแม่คุณฟ่งทีไร ผมจะกอดแล้วหอมแก้มซ้ายขวาฟอดใหญ่เลย กับคุณฟ่งนี่หอมแก้มฟอดเล็ก ๆ ( หัวเราะ )
ผมรักกับคุณฟ่งนี่ก็ปีที่ห้าแล้วนะ ตั้งแต่รู้จักกันมาจนถึงวันนี้ผมแทบจะไม่มีเวลาให้เธอเลย แต่เธอก็ดูแลตัวเองได้ดี และอยู่เคียงข้างผมตลอดมา ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ดูบอบบาง แต่มีหัวใจยิ่งใหญ่เกินตัว แล้วเธอก็มีความเชื่อในพระเจ้ามากกว่าผมเสียอีก กว่าจะมาถึงวันนี้เราสองคนผ่านอุปสรรคมาเยอะมากจริง ๆ เขียนเป็นหนังสือเล่มหนาได้เลย ( หัวเราะ )
ปรมาจารย์โบบิ อยากบอกอะไรกับผู้หญิงที่อ่าน ผู้หญิง
สำหรับผู้หญิง บางครั้งความรักคือทุกอย่าง แต่ผมอยากจะบอกว่าสิ่งที่ผู้ชายต้องการมากที่สุดก็ คือ ความเข้าใจ จริง ๆ แล้วผู้หญิงเข้าใจผิดที่ว่าผู้ชายชอบผู้หญิงผิวขาว สวย หุ่นดี แต่จริง ๆ สิ่งที่ผู้ชายปรารถนาที่สุด คือ ความสบายใจ ผู้ชายอยากได้ผู้หญิงที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็ว ใช้เวลาทำอะไรก็ได้ร่วมกันได้อย่างสบายใจ รู้สึกมีความสุขได้ง่ายกว่ามีความทุกข์ ทีนี้ถ้าผู้ชายคนไหนโชคดีได้ตกหลุมรักกับผู้หญิงสักคนที่เป็นแบบนี้ ก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ดี เพราะว่าหายากครับ ( ยิ้ม ) อย่างผมนี่โชคดี หาได้แล้ว ( หัวเราะ ) ผมสนับสนุนให้ผู้หญิงหมั่นดูแลจิตใจให้ดีงาม รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น อยากเห็นผู้หญิงหันมาใส่ใจทำทรีตเม้นท์เพิ่มระดับความน่ารัก เพิ่มระดับความอบอุ่น ทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจ ถ้าผู้หญิงทำศัลยกรรมเสริมความงามรูปร่างหน้าตาได้ ก็น่าจะทำศัลยกรรมเสริมความงามในจิตใจได้นะ และถ้าทำได้ผมว่า แฟนคุณหรือสามีคุณไม่น่าจะออกอยู่ห่างจากคุณเลยแม้แต่เสี้ยววินาที เลิกงานปุ๊บตรงกลับบ้านปั๊บ ยิ่งเหนื่อยล้าจากการทำงาน ในเวลาที่ต้องการกำลังใจ เขาจะโผเข้าซบตักคุณนะ อย่างผมไง ชอบนอนหนุนตักแฟนเวลาเครียดหรือเหนื่อย ผมว่าผู้ชายเป็นเพศที่ขาดความอบอุ่นนะ
ทุกวันนี้กลับไปเยี่ยมพ่อแม่มั้ย
ทุกวันนี้ไปเยี่ยมบ้านน้อยกลับบ้านปีละครั้ง โทรหาคุณพ่อแม่ก็ไม่บ่อยเดือนละครั้งสองครั้ง ตอนผมมีชื่อเสียงขนาดไปถึงสิงคโปร์ มาเลเซีย คุณพ่อคุณแม่ก็ยังไม่รู้ ถึงรู้เขาก็ไม่เชื่อ เขาจะเชื่อพี่ ๆ ผมมากกว่า วันที่เขามาเห็นศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก เห็นสิ่งที่ผมทำที่นี่ พ่อแม่ผมดีใจมาก ท่านพูดว่าท่านนอนตายตาหลับแล้ว ก่อนที่ผมจากบ้านมาผมบอกพ่อแม่ว่าผมจะทำให้ชื่อของพ่อแม่ผมเป็นที่รู้จักกับ คนทั่วโลก เขาหัวเราะ เขาไม่เชื่อ ตอนที่ผมได้ไปสอนต่างประเทศครั้งแรก ผมโทรไปบอกพ่อแม่ ผมแปลกใจที่เขารู้สึกไม่ดีใจ พอผมไปสอนเซี่ยงไฮ้ น้ำเสียงเริ่มดีใจ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่คุณพ่อคุณแม่พูดว่า ภูมิใจในตัวผม น้ำตาผมไหลด้วยความตื้นตันเลยนะ ร้องเลย ดีใจมาก ผมดีใจที่ความสำเร็จของผมทำให้คุณพ่อคุณแม่มีความสุข ผมภูมิใจที่ผมได้เกิดเป็นลูกคุณพ่อคุณแม่
ในเวลานี้คุณประสบความสำเร็จทั้งในเรื่องงาน และเรื่องอื่น ๆ คิดว่าทั้งหมดเป็นรางวัลการจากทุ่มเทของคุณรึเปล่า
ไม่นะ ผมเชื่อว่าทั้งหมดคือสิ่งที่พระเจ้ามอบให้ แล้วผมก็มีหน้าที่้ต่อยอดทวีคูณเพื่อจะได้มีพอที่จะให้ต่อไปยังคนอื่น คริสเตียนเราเชื่อว่าเราได้รับพรจากพระเจ้า ผู้เลือกเราเพื่อให้ชีวิตเราเป็นพระพรกับคนอื่นต่อไป ผมคิดว่าถ้าทำให้ชีวิตของใครสักคนให้ดีขึ้น เปลี่ยนชีวิตของใครสักคนให้ดีขึ้นได้ นั่นคือความดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์สามารถทำต่อมนุษย์ด้วยกัน
ทำไม ปรมาจารย์โบบิ ถึงขายแต่เลนส์โปรเกรสซีฟไฮเอนด์
เพราะมันเปลี่ยนชีวิตลูกค้าผมได้ ผมเชื่อว่า " Life is too short to limit your vision " เริ่มจาก คนวัย 60 มาบอกว่าไม่รู้จะขอบคุณผมยังไง ใส่สบายมองเห็นชัดเหมือนได้กลับไปเป็นหนุ่ม นี่คือเลนส์คู่แรกที่ผมขายที่ตรัง ลูกค้าบอกว่า เวลาเดินกลับบ้านมันสบาย ถนนกว้าง ทางเข้าบ้านชัดเป็นทางไปเลย มองอะไรก็ สดใส แล้วมีความสุขมากเพราะเขารักกล้วยไม้ เวลาหยิบแมลง คนที่รักกล้วยไม้จะไม่ใช้ยาฆ่าแมลงนะ เขาจะใช้มือหยิบ ก็ต้องดูระยะไง เลยชอบเลนส์ตัวนี้มาก กินข้าว อ่านหนังสือ ทำอะไรก็ไม่ต้องเปลี่ยนแว่น ใช้อันเดียวพอ ตอนนั้นผมขายเขาคู่หนึ่งเกือบหมื่น เทียบกับเลนส์ธรรมดาแค่คู่ละสามสี่ร้อยบาท ที่ผมกล้าแนะนำให้ลูกค้าใช้ เพราะ ถ้าใส่ไม่ได้ก็เอามาคืน ผมพร้อมจะคืนเงินให้หรือทำคู่ใหม่เปลี่ยนให้ ก็พยายามศึกษา ทำให้ดีที่สุด เครียดเหมือนกันเพราะลองของใหม่ แต่เป็นคนชอบเครียด ( ยิ้ม )
เลนส์โปรเกรสซีฟรุ่นเก่าที่ใช้เทคโนโลยี 30 - 40 ปีที่แล้ว ต้องหัดใส่สักกันเป็นเดือน เดี๋ยวนี้ก็ยังมีขายอยู่ คู่ละพันก็มี แต่เลนส์โปรเกรสซีฟรุ่นใหม่ใส่แล้ว ชัดแจ๋วเลย ไม่ต้องรอปรับสายตา ราคามีให้เลือกตั้งแต่คู่ละ 35,000 บาท ไปจนถึงคู่ละแสน ใช้เครื่องคำนวณที่ความละเอียด 42,600 กว่าล้านค่า เอาค่าสายตาของมนุษย์ที่มีความแตกต่างกันถึง 42,600 กว่าล้านมาคำนวณ แล้วออกแบบ เลนส์ตามสายตาแต่ละข้าง ตามตำแหน่งใช้งานจริงในกรอบแว่นแต่ละอัน เป็นการปรับแว่นเข้าหาคน ไม่ใช่ผู้ใช้ต้องฝืนปรับตัวเข้าหาแว่นเหมือนเลนส์แว่นตาเทคโนโลยีอื่น
ปลายปีนี้ทางศูนย์แว่นตาไอซอฟติกจะเปิดศูนย์ตรวจ วัดสายตาประกอบแว่นโปรเกรสซีฟไฮเอนด์รุ่นล่าสุด เทคโนโลยี Custom High Definition ร่วมกับ Carl Zeiss Vision บนพื้นที่ขนาด 450 ตารางเมตร ที่ ERAWAN BANGKOK สำหรับผู้ที่ต้องการคุณภาพการมองเห็นในระดับสุดยอด ราคาเลนส์มีให้เลือกตั้งแต่คู่ละ 150,000 บาทไปจนถึงคู่ละ 300,000 บาท ตอนนี้ลูกค้าจองไว้ประมาณเกือบหนึ่งพันคู่
เลนส์แว่นตาที่แพงที่สุดราคาคู่ละเท่าไหร่
ปัจจุบันมีการคิดค้นเลนส์แว่นตาต้นแบบราคาคู่ละล้านกว่าบาท เปลี่ยนวัสดุไปเลย ใช้เครื่องยิงอนุภาคสร้างเลนส์ขึ้นมาจากเนื้อเรซินหลายล้าน index เป็นเทคโนโลยีนาโน เพื่อจะแก้ไขการบิดเบือนเชิงแสงให้ได้ดีที่สุด แต่บริษัทผู้ผลิตเลนส์กลับไม่เชื่อว่าจะขายได้ แต่ตอนนี้ผมมีกลุ่มลูกค้าที่พร้อมจะซื้อ แล้วเขาคอยอยู่
เลนส์ตัวใหม่ออกมา บอกเลยนะ ผมก็บอกทางบริษัทผู้ผลิตว่าผมจะขายให้ดู น่าจะเริ่มจำหน่ายได้ภายในปี 2010
ทำไม ปรมาจารย์โบบิ ถึงทำแว่นได้ดีกว่าคนอื่น
ผมไม่ได้เก่งที่สุดในโลกเรื่องการทำเลนส์หรือการตัดแว่น แต่ที่ทำแว่นได้ดีกว่าคนอื่น ๆ เพราะทำอย่างสุดใจ เวลามีรายยาก ๆ เข้ามา ผมจะคิดอยู่นั่นว่าทำยังไงให้เขาเห็นดีที่สุด เคยมีนะ แก้กันอยู่นั่น ลูกค้าเลยเห็นว่าผมไม่ทิ้งโจทย์ ไม่ปัดให้พ้นตัว คิดอยู่นั่นว่าปัญหาอยู่ตรงไหน เกิดอะไรขึ้น แล้วจะแก้ยังไง ถ้าผมคิดวิธีได้ ผมจะบอกลูกค้า
แล้วถามว่าคุณจะเอาวิธีของผมมั้ย ผมไม่เคยหยุดนิ่ง ศึกษาค้นคว้า หาความรู้แล้วนำมาต่อยอดพัฒนาให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา ผมมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะตรวจวัดสายตาประกอบแว่นระดับไฮเอนด์ให้ดี ที่สุดในโลก เพราะผมศรัทธาในคุณค่าการมองเห็นของมนุษย์ว่าสูงค่า ผมเชื่อว่า Life is beautiful and sight is life ความสุขของผมอยู่ที่การได้ทำให้คุณภาพชีวิตของใครสักคนดีขึ้น ด้วยแว่นตาที่ผมทำให้ ผมจึงทุ่มเทกำลังความคิด สติปัญญา ทั้งหมด ทำแว่นตาที่ช่วยให้มองเห็นดีขึ้น รู้สึกสบายขึ้น มีบุคลิกภาพต้องตาต้องใจคนรอบข้างมากขึ้น ผมชอบพูดกับลูกค้าชาวต่างชาติเสมอว่า ผมอยากทำให้พวกเขา See better , feel better and look better no matter how old you are สำหรับผมแล้วการทำแว่นให้ลูกค้ามองเห็นได้ดีขึ้นยังไม่พอ แต่ต้องมองเห็นได้ชัดทุกระยะในเสี้ยววินาทีอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ( Instant crystal clear vision at any distance like when you was young ) ใส่แล้วมีพลัง ทำงานได้ดีขึ้นแต่เหนื่อยน้อยลง
นอกจากทำแว่นแล้ว ปรมาจารย์โบบิ สนใจทำเรื่องไหนอีก
นอกจากทำแว่นให้คนมองเห็นได้ดีที่สุดแล้ว ผมยังอยากดูแลสุขภาพสายตาให้สามารถมองเห็นได้นานที่สุด เราเป็นร้านแว่นร้านเดียวในโลกตอนนี้ที่ถ่ายจอประสาทตาให้ผู้ใช้บริการทุกคน เพราะแค่เราถ่ายรูปให้ ลูกค้าได้หมื่นคน ก็ช่วยเขาไม่ให้เสี่ยงกับการตาบอดจากจอประสาทตาเสื่อมได้แล้ว
ศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก ตรวจสุขภาพสายตาเบื้องต้นโดยจักษุแพทย์ และ Doctor of Optometry จริง ๆ แล้วผมไม่ได้ขายแว่นนะ ผมขายการมองเห็นในระดับสูงสุดเท่าที่เทคโนโลยีในปัจจุบันจะเป็นไปได้ เผอิญเลนส์นี่เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้มองเห็น แค่นั้นเอง
ผมอยากทำ ISOPTIK CLUB สำหรับลูกค้าของผมได้มานั่งคุย และเปลี่ยนความคิดเห็น ต่อยอดความรู้ พัฒนาธุรกิจร่วมกัน เสิร์ฟเอสเพรสโซ่ ลาเต้ คาปูชิโน รสชาดเยี่ยม ทุกวันนี้ลูกค้าขากยุโรปยอมรับว่าลาเต้ของเราไม่แพ้ลาเต้ที่อร่อยที่สุดใน ยุโรปแล้วนะ ( ยิ้ม ) ผมอยากเห็นลูกค้าทุกคนของศูนย์แว่นตาไอซอฟติกมีความสุขกับครอบครัวได้มากขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ใส่แว่นที่ผมทำให้แล้วรวยขึ้น ประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงานมากขึ้น อยากดูแลสุขภาพสายตาของสมาชิกทุกคนในครอบครัวของพวกเราตั้งแต่วินาทีแรกที่ ลืมตาดูโลกไปจนถึงวินาทีสุดท้ายผมอยากให้ศูนย์แว่นตาไอซอฟติกเป็นสถาบันเพื่อพัฒนาคุณภาพการมองเห็นในระดับ สูงสุดของลูกหลานในอนาคตของพวกเขา
ปัจจุบัน ศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก ได้ย้ายมาอยู่
อาคาร AIA CAPITAL CENTER ( AIACC ) ชั้น 2 โซนร้านค้าหน้าตึก ถ.รัชดาภิเษก เลยสถานทูตจีน 20 เมตร ติดกับ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แห่งใหม่ และอยู่ก่อนถึงสถานีรถไฟฟ้า MRT สถานี ศูนย์วัฒนธรรม 120 เมตร
เปิดวันอังคาร - วันเสาร์ เวลา 10:00 - 19:00 น.
หยุดทุกวันอาทิตย์ และวันจันทร์
โทรนัดเวลา : 086-565-5711 หรือ 086-970-0794
( เพื่อให้ได้รับคุณภาพการบริการในระดับสูงสุด กรุณานัดล่วงหน้า )