เด็กติดจอ แก้ยังไง มีผลกระทบอะไรบ้าง เรื่องที่พ่อแม่ควรรู้

เด็กติดจอ แก้ยังไง มีผลกระทบอะไรบ้าง

ยุคนี้เด็กเข้าถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้ง่ายและเร็วขึ้น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ ไปแล้ว หลายครอบครัวจึงต้องเผชิญกับปัญหาเด็กติดจอ ซึ่งส่งผลกระทบทั้งต่อสายตา พัฒนาการทางสมอง และพฤติกรรมทางสังคม บทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่ทำความเข้าใจอาการของเด็กติดจอ เวลาที่เหมาะสมในการใช้หน้าจอ ผลกระทบต่อสายตาและพัฒนาการ รวมถึงวิธีการฝึกให้ลูกห่างจากหน้าจอ เพื่อสร้างสมดุลในการใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม

อาการของเด็กติดจอ มีอะไรบ้าง

การสังเกตว่าลูกกำลังติดจอมากเกินไปหรือไม่ สามารถดูได้จากอาการและพฤติกรรมเหล่านี้

  • เด็กไม่สนใจกิจกรรมที่เคยชื่นชอบอีกต่อไป เช่น เล่นกีฬา วาดรูป หรือเล่นของเล่น แต่กลับหมกมุ่นอยู่กับการเล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

  • ไม่สนใจเรียนหรือการบ้าน ละเลยกิจวัตรประจำวัน เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน หรือกินข้าวให้ตรงเวลา

  • ใช้เวลาอยู่กับหน้าจอนานขึ้นเรื่อย ๆ หยุดเล่นไม่ได้แม้จะถึงเวลาที่กำหนด และมักขอเพิ่มเวลาเล่นอยู่เสมอ

  • หงุดหงิด โมโหง่าย เอาแต่ใจ หรือมีพฤติกรรมก้าวร้าวเมื่อถูกขัดใจ โดยเฉพาะเมื่อถูกห้ามหรือจำกัดเวลาในการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

  • มีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนน้อยลง ไม่อยากทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น ชอบอยู่คนเดียวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

  • ขาดสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวกับหน้าจอได้นาน

  • มีอาการทางกาย เช่น ปวดตา ปวดหัว ปวดคอหรือหลัง นอนไม่หลับ หรือเหนื่อยล้าผิดปกติ

หากคุณพ่อคุณแม่พบอาการเหล่านี้ในลูก 3-4 ข้อขึ้นไป อาจเป็นสัญญาณว่าลูกกำลังมีภาวะเด็กติดจอที่ควรได้รับการแก้ไข

เด็กติดจอแค่ไหนถือว่ามากเกินไป

หากเด็กใช้หน้าจอวันละเกิน 2 ชั่วโมงโดยไม่มีการจำกัด หรือมีอาการเสพติดที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน เช่น ละเลยการเรียน ไม่ทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว และมีอารมณ์รุนแรงเมื่อไม่ได้เล่น ถือว่าเข้าสู่ภาวะเด็กติดจอแล้ว

เด็กควรใช้เวลาอยู่กับหน้าจอแค่ไหนถึงจะพอดี

เด็กควรใช้เวลาอยู่กับหน้าจอแค่ไหนถึงจะพอด

เวลาที่เหมาะสมในการใช้หน้าจอสำหรับเด็กแต่ละวัยมีความแตกต่างกัน ดังนี้

เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ไม่ควรใช้หน้าจอเลย ยกเว้นการพูดคุยกับญาติผ่านวิดีโอคอล ในช่วงวัยนี้ เด็กต้องการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจริง ๆ และการสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัวเพื่อพัฒนาสมองและทักษะทางสังคม

เด็กอายุ 2-5 ปี ไม่ควรใช้หน้าจอเกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน ภายใต้การดูแลของผู้ปกครอง ควรเลือกเนื้อหาที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับวัย เช่น รายการโทรทัศน์หรือแอปพลิเคชันที่ออกแบบมาเพื่อการศึกษาโดยเฉพาะ

เด็กอายุ 6-12 ปี ไม่ควรใช้หน้าจอเกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน สำหรับความบันเทิง (ไม่รวมเวลาที่ใช้เพื่อการศึกษา) และควรมีการกำหนดกฎระเบียบที่ชัดเจนเกี่ยวกับช่วงเวลาและประเภทของเนื้อหาที่อนุญาตให้เข้าถึงได้

เด็กติดจอส่งผลอย่างไรต่อสายตา

การเพ่งหน้าจอนาน ๆ โดยไม่มีการพักสายตา อาจทำให้เกิดภาวะตาล้า สายตาสั้นตั้งแต่วัยเรียน และปวดตาบ่อย การจ้องหน้าจออย่างต่อเนื่องยังทำให้อัตราการกะพริบตาลดลง จนนำไปสู่อาการตาแห้ง ซึ่งไม่ใช่แค่ไม่สบายตา แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพดวงตาในระยะยาวด้วย

ผลกระทบด้านอื่น ๆ เมื่อลูกติดหน้าจอ

นอกจากผลกระทบต่อสายตาแล้ว เด็กติดจอยังส่งผลเสียหลายด้าน ดังนี้

  • พัฒนาการทางสมองช้า ขาดการกระตุ้นจากการเล่นและการเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสอื่น ๆ

  • สมาธิสั้น ความเคยชินกับภาพเคลื่อนไหวเร็วบนหน้าจอ ทำให้จดจ่อกับสิ่งอื่นได้ยาก

  • ทักษะทางสังคมลดลง ขาดการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ทำให้มีปัญหาในการเข้าสังคม

  • พัฒนาการทางภาษาและการสื่อสารช้า การสื่อสารผ่านหน้าจอส่วนใหญ่เป็นทางเดียว

  • ควบคุมอารมณ์ได้ยาก อาจมีพฤติกรรมก้าวร้าว หงุดหงิดง่าย

วิธีฝึกลูกให้ห่างหน้าจอ

วิธีฝึกลูกให้ห่างหน้าจอ

การแก้ไขปัญหาเด็กติดจอต้องอาศัยความอดทนและความสม่ำเสมอ ไม่สามารถแก้ไขได้ในทันที แต่ต้องค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนทีละขั้นตอน ดังนี้

  • พ่อแม่ต้องลดการใช้หน้าจอของตัวเองก่อน เด็กจะเรียนรู้จากการกระทำมากกว่าคำพูด หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์ต่อหน้าลูก โดยเฉพาะในช่วงมื้ออาหารหรือเวลาทำกิจกรรมครอบครัว

  • กำหนดกฎระเบียบที่ชัดเจน เช่น

    • ห้ามใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างมื้ออาหาร

    • ไม่นำอุปกรณ์ไปใช้ในห้องนอน

    • กำหนดช่วงเวลาปลอดหน้าจอในแต่ละวัน

    • จำกัดเวลาใช้หน้าจอตามช่วงอายุที่เหมาะสม

  • หากิจกรรมที่สนุกและน่าสนใจทดแทนการใช้หน้าจอ เช่น ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เล่นฟุตบอล ทำอาหาร อ่านหนังสือด้วยกัน

  • ค่อย ๆ ลดเวลาหน้าจอ ไม่ควรตัดการใช้หน้าจอทันที เช่น ลดลง 15-30 นาทีต่อสัปดาห์ จนถึงเวลาที่เหมาะสม

  • สร้างแรงจูงใจด้วยการให้รางวัลเมื่อลูกสามารถควบคุมการใช้เวลาหน้าจอได้ตามเป้าหมาย เช่น

    • "ถ้าอ่านหนังสือ 30 นาทีทุกวันครบสัปดาห์ วันเสาร์จะพาไปสวนสนุก"

    • "ถ้าทำการบ้านเสร็จก่อนเวลา จะได้เวลาเล่นเกมเพิ่ม 15 นาที"

  • ดูแลเนื้อหาที่เด็กเข้าถึง เลือกแอปพลิเคชันและเกมที่เหมาะสมกับวัย และมีประโยชน์ต่อการเรียนรู้

สรุปบทความ

เด็กติดจอเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและต้องการความเข้าใจจากพ่อแม่อย่างมาก การจำกัดเวลาอย่างเหมาะสม ร่วมกับการสร้างกิจกรรมที่กระตุ้นพัฒนาการด้านอื่น ๆ จะช่วยให้เด็กมีสมดุลที่ดีทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ และการเรียนรู้

การดูแลสุขภาพตาเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกวัย ศูนย์แว่นตาไอซอพติก ศูนย์แว่นตาโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล เข้าใจถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพสายตาอย่างครบวงจร เราให้บริการวัดสายตาประกอบแว่นคุณภาพสูง มีทีมนักทัศนมาตรและจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา ออกแบบ และวิเคราะห์การใช้สายตาของคุณอย่างละเอียด โดยมีปรมาจารย์โบบิ คอยดูแลทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้คุณได้รับแว่นตาโปรเกรสซีฟที่ใส่สบาย ตอบโจทย์การใช้งาน และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต พร้อมรับประกันความพึงพอใจสูงสุด 180 วัน

คำยืนยันจากผู้ใช้ แว่นตาโปรเกรสซีฟ อัจฉริยะไอซอพติก มากกว่า ท่าน คลิก

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :

ปรมาจารย์โบบิ สายด่วน : 081-538-4200

LINE ID : @isoptik

เว็บไซต์ : https://www.isoptik.com

whatsapp : +66 81-538-4200

อีเมล : isoptik@gmail.com

คำยืนยันจากผู้ใช้

คุณหน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์

คุณหน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์

ผู้สร้างภาพยนตร์ บุพเพสันนิวาส ๒ และ ละครพรหมลิขิต ★ ★ ★ ★ ★

แว่นที่ดี สำคัญมากกับการดำเนินชีวิต ดีใจที่เจอแว่นที่ถูกใจ ก็เหมือนกับบุพเพสันนิวาส ทำให้เราทำงานได้อย่างมีความสุขค่ะ

อ่านต่อ
นายแพทย์ วิชิต ศิริทัตธำรง

นายแพทย์ วิชิต ศิริทัตธำรง

หัวหน้าหน่วยจุลศัลยกรรมโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 อินเตอร์ ★ ★ ★ ★ ★

ใช้แว่นตาโปรเกรสซีฟอัจฉริยะไอซอพติกแล้ว ทำให้เหนื่อยน้อยลง มีพลังในการทำงานมากขึ้น และมีความสุขเพิ่มขึ้นในการใช้ชีวิต ครับ

อ่านต่อ

รวมคำยืนยันจากผู้ใช้แว่นตาโปรเกรสซีฟอัจฉริยะ 3 มิติ เฉพาะบุคคล อย่างยิ่งยวด สะท้านโลกา

อ่านต่อ

วิธีเดินทางมาศูนย์เเว่นตาโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ISOPTIK

เลนส์แว่นตาไอซอพติก มีจำหน่ายที่
ศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก เท่านั้น
โปรดระวังการแอบอ้าง

go to top
คุณภาพการมองเห็นมีผลกับ คุณภาพชีวิตอย่างไร ?