สายตาสั้นเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่เราต้องใช้สายตามองหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลานาน แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่า ภาวะสายตาสั้นที่รุนแรงนั้นมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนทางตาที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ มาทำความเข้าใจกันว่า สายตาสั้นเท่าไหร่ถึงตาบอด และวิธีการป้องกันที่เราสามารถทำได้
สายตาสั้นมีกี่ระดับ
สายตาสั้นหรือภาวะสายตาสั้น ( Myopia ) สามารถแบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ ดังนี้
-
สายตาสั้นระดับปกติ มีค่าสายตาสั้นอยู่ที่ -0.25 ถึง -3.00 ไดออปเตอร์ ระดับนี้จะเริ่มมองไกลไม่ชัด ต้องใส่แว่นตา หรือใส่คอนแทคเลนส์ แต่ยังไม่มีความเสี่ยงเรื่องโรคแทรกซ้อน
-
สายตาสั้นระดับปานกลาง มีค่าสายตาสั้นอยู่ที่ -3.25 ถึง -6.00 ไดออปเตอร์ ระดับนี้จำเป็นต้องใส่แว่นสายตา หรือคอนแทคเลนส์ในการใช้ชีวิตประจำวัน
-
สายตาสั้นระดับสูง มีค่าสายตาสั้นมากกว่า -6.00 ไดออปเตอร์ มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทางจอประสาทตา ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากจักษุแพทย์
สายตาสั้นเท่าไหร่ถึงตาบอด
สายตาสั้นมากกว่า 600 หรือ -6.00 ไดออปเตอร์ ขึ้นไป มีโอกาสสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนทางตาที่อาจทำให้ตาบอดได้ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่แก้ไขหรือดูแลสายตาอย่างเหมาะสม
ภาวะแทรกซ้อนทางตาที่อาจทำให้ตาบอด
อย่างที่บอกว่า สายตาสั้นระดับสูงเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคตาหลายประเภท ซึ่งแต่ละโรคมีความร้ายแรงแตกต่างกันไป หากละเลยอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นถาวรได้
1. ต้อหิน
ต้อหิน ( Glaucoma ) คือภาวะที่มีความดันในลูกตาสูงผิดปกติ ทำให้เส้นประสาทตาถูกทำลาย ส่งผลให้กลไกการระบายน้ำในตาทำงานผิดปกติ โดยผู้ที่มีสายตาสั้นมากมีความเสี่ยงมากกว่าคนสายตาปกติ หากไม่มีการรักษาอย่างทันท่วงที ต้อหินสามารถทำให้ตาบอดได้
2. ต้อกระจก
ต้อกระจก ( Cataract ) เป็นภาวะที่เลนส์ตาขุ่นมัว ทำให้แสงไม่สามารถผ่านเข้าไปถึงจอประสาทตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ที่มีค่าสายตาสั้นมากกว่า 600 ขึ้นไป จะมีโอกาสสูงในการเกิดต้อกระจก และหากไม่ได้รับการรักษาจะทำให้การมองเห็นลดลงเรื่อย ๆ จนอาจนำไปสู่ภาวะตาบอดได้
3. จอประสาทตาเสื่อม
จอประสาทตาเสื่อม ( Macular Degeneration ) เป็นภาวะที่ส่งผลต่อจุดศูนย์กลางของจอประสาทตา ทำให้การมองเห็นตรงกลางลดลง หากปล่อยให้ภาวะจอประสาทตาเสื่อมแย่ลงเรื่อย ๆ สามารถทำให้สูญเสียการมองเห็น และตาบอดในที่สุด
4. จอประสาทตาหลุดลอก
จอประสาทตาหลุดลอก ( Retinal Detachment ) เป็นภาวะฉุกเฉินทางตาที่จอประสาทตา เกิดจากจอประสาทตาแยกออกจากผนังลูกตาด้านหลัง หากไม่ได้รับการรักษาทันที อาจนำไปสู่ภาวะตาบอดอย่างถาวร
วิธีป้องกันไม่ให้เสี่ยงตาบอด
การป้องกันและชะลอความรุนแรงของสายตาสั้นเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น โดยสามารถทำได้ ดังนี้
-
ตรวจตาเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่มีสายตาสั้นระดับสูง
-
ใช้แว่นหรือคอนแทคเลนส์ที่เหมาะสมตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ หรือนักศนมาตร
-
ใช้แว่นตากรองแสงสีฟ้าเมื่อต้องใช้งานหน้าจออิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลานาน
-
หากต้องใช้สายตาเป็นเวลานาน ควรพักสายตาเป็นระยะ โดยมองไปยังที่ไกล ๆ หรือหลับตาสักครู่
-
ใช้แสงสว่างที่เหมาะสมเมื่ออ่านหนังสือหรือทำงาน
-
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพตา เช่น ผักใบเขียว ปลาที่มีโอเมก้า 3 และผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง
-
หลีกเลี่ยงการถูเคืองตาแรง ๆ และสวมแว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้ง
สรุปบทความ
สายตาสั้นมากกว่า 600 ขึ้นไป มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนทางตาที่รุนแรง อาทิ ต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม และจอประสาทตาหลุดลอก ซึ่งล้วนสามารถนำไปสู่ภาวะตาบอดได้หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมและทันท่วงที
ใครที่มีปัญหาสายตา และต้องการแก้ไขให้เหมาะสมเพื่อชะลอการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาอย่างรวดเร็ว ศูนย์แว่นตาไอซอพติก ศูนย์แว่นตาโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล เราให้บริการวัดสายตาประกอบแว่นคุณภาพสูง มีทีมนักทัศนมาตรและจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา ออกแบบ และวิเคราะห์การใช้สายตาของคุณอย่างละเอียด โดยมีปรมาจารย์โบบิ คอยดูแลทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้คุณได้รับแว่นตาโปรเกรสซีฟที่ใส่สบาย ตอบโจทย์การใช้งาน และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต พร้อมรับประกันความพึงพอใจสูงสุด 180 วัน
คำยืนยันจากผู้ใช้ แว่นตาโปรเกรสซีฟ อัจฉริยะไอซอพติก มากกว่า ท่าน คลิก
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :
ปรมาจารย์โบบิ สายด่วน : 081-538-4200
LINE ID : @isoptik
เว็บไซต์ : https://www.isoptik.com
whatsapp : +66 81-538-4200
อีเมล : isoptik@gmail.com