อาการตาล้าเกิดจากอะไร อันตรายไหม ทำอย่างไรให้หาย

อาการตาล้าเกิดจากอะไร อันตรายไหม

ในยุคดิจิทัลที่ต้องจ้องหน้าจอตลอดเวลา ทั้งทำงาน เรียนออนไลน์ หรือเล่นโซเชียลมีเดีย อาการตาล้าจึงกลายเป็นปัญหาสุขภาพตาที่คนส่วนใหญ่ต้องเผชิญ หลายคนเริ่มมีอาการแสบตา มองเห็นไม่ชัดชั่วคราว หรือปวดตาหลังจากใช้สายตาเป็นเวลานาน บทความนี้เลยมัดรวมเรื่องสำคัญเกี่ยวกับอาการตาล้า ทั้งสาเหตุ ผลกระทบ และวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ดวงตาคู่สวยของคุณกลับมาสดใสอีกครั้ง

ตาล้าคืออะไร

ตาล้า ( Asthenopia ) เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อรอบดวงตาต้องทำงานหนักเกินไปจากการใช้สายตาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในกิจกรรมที่ต้องใช้สายตามองใกล้และโฟกัสสูง เช่น การอ่านหนังสือ การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือการใช้สมาร์ตโฟน ยิ่งหากเป็นผู้ที่มีปัญหาสายตาอยู่แล้ว ก็จะยิ่งทำให้เกิดภาวะตาล้าได้ง่ายขึ้น

อาการตาล้ามีอะไรบ้าง

อาการตาล้ามีอะไรบ้าง

โดยทั่วไป ผู้ที่มีอาการตาล้ามักจะรู้สึกแสบตา ปวดตา ตาแห้ง หรือมีน้ำตาไหลมากผิดปกติ บางคนอาจมีอาการตาพร่ามัว มองเห็นภาพซ้อน หรือปรับโฟกัสได้ช้าลงเมื่อต้องเปลี่ยนจากการมองใกล้เป็นมองไกล

นอกจากนี้ บางรายอาจมีอาการอื่น ๆ เพิ่มเติมร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ บ้านหมุน หรือคลื่นไส้ อาการเหล่านี้มักจะทุเลาลงหลังจากพักสายตาเป็นเวลาพอสมควร แต่จะกลับมาเป็นอีกเมื่อต้องใช้สายตาหนักอีกครั้ง

อาการตาล้า อันตรายไหม

อาการตาล้าไม่ถือว่าอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต แต่ก็ไม่ควรละเลย เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งการเรียน การทำงาน หรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่ต้องใช้สายตา นอกจากนี้ อาการตาล้ายังอาจเป็นอันตรายได้หากเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม เช่น การตาล้าขณะขับรถยนต์ ซึ่งอาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้

สาเหตุที่ทำให้ตาล้า

สาเหตุที่ทำให้ตาล้า

อาการตาล้าสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากพฤติกรรมการใช้สายตา สภาพแวดล้อม และปัจจัยทางสุขภาพ การทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงจะช่วยให้สามารถป้องกันและรักษาอาการตาล้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ใช้สายตาหนัก

หลายคนใช้เวลาจ้องหน้าจอดิจิทัลอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายชั่วโมง ทั้งคอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต หรือโทรทัศน์ การมองจอภาพเหล่านี้เป็นเวลานานจะทำให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนัก เนื่องจากต้องปรับโฟกัสอยู่ตลอดเวลา แถมยังต้องทนต่อแสงสีฟ้าที่แผ่ออกมาจากหน้าจอ ซึ่งเป็นอันตรายต่อดวงตา

นอกจากนี้ กิจกรรมอื่น ๆ ที่ต้องใช้สายตาอย่างต่อเนื่อง เช่น การอ่านหนังสือเป็นเวลานาน การขับรถระยะไกล หรือการทำงานที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น งานฝีมือ งานเย็บปักถักร้อย ก็สามารถทำให้เกิดอาการตาล้าได้เช่นกัน

ค่าสายตาผิดปกติ

เมื่อค่าสายตาผิดปกติ เช่น สายตาสั้น สายตาเอียง หรือสายตายาว ที่ไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้กล้ามเนื้อตาต้องทำงานหนักเพื่อพยายามปรับโฟกัสให้มองเห็นได้ชัดเจน ทำให้เมื่อยล้าได้ง่าย

นอกจากนี้ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 37 ปีอาจเริ่มมีภาวะสายตายาวตามวัย ( Presbyopia ) ซึ่งเป็นภาวะที่เลนส์ตาสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้มีปัญหาในการโฟกัสระยะใกล้ ส่งผลให้เกิดอาการตาล้าได้ง่ายขึ้นเมื่อต้องอ่านหนังสือหรือทำงานใกล้ ๆ

ใช้สายตาในที่มืด หรือแสงน้อย

การใช้สายตาในสภาพแวดล้อมที่มีแสงน้อยเกินไป เช่น การอ่านหนังสือในห้องที่มีแสงสลัว หรือการใช้คอมพิวเตอร์ในห้องมืด ทำให้กล้ามเนื้อตาต้องพยายามเพ่งสายตาเพื่อให้มองเห็นชัดเจน ส่งผลให้เกิดอาการตาล้าได้ง่ายขึ้น

ความเครียด

ความเครียดมีความสัมพันธ์โดยตรงกับอาการตาล้า เมื่อเราเครียด กล้ามเนื้อต่าง ๆ บนร่างกายต้องเกร็งอยู่ตลอดเวลา รวมถึงกล้ามเนื้อตา นำไปสู่อาการตาล้าและปวดตาได้ง่ายขึ้น

ในทางกลับกัน อาการตาล้าก็สามารถก่อให้เกิดความเครียดได้เช่นกัน เมื่อเราไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนหรือรู้สึกไม่สบายตา จะทำให้รู้สึกหงุดหงิด กังวล และเครียดมากขึ้น ซึ่งจะยิ่งทำให้อาการตาล้าแย่ลงไปอีก

ผลกระทบที่เกิดจากอาการตาล้า

หากเกิดอาการตาล้าบ่อย ๆ จะรบกวนการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ทั้งการเรียน การทำงาน หรือกิจกรรมอื่น ๆ เนื่องจากไม่สามารถโฟกัสได้ต่อเนื่อง ต้องหยุดพักบ่อยครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้ที่ขับขี่รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์เป็นประจำ มีอาการตาล้าบ่อยครั้ง ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินทั้งของตนเองและผู้อื่น

ที่สำคัญที่สุด หากปล่อยให้อาการตาล้าดำเนินต่อไปโดยไม่เข้ารับการรักษา อาจนำไปสู่โรคทางตาที่รุนแรงกว่าเดิมได้ เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อม ต้อลม วุ้นในตาเสื่อม หรือปัญหากระจกตา ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร

การรักษาอาการตาล้า

การรักษาอาการตาล้า

ถึงแม้ว่าอาการตาล้าจะเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในยุคดิจิทัล แต่ก็มีวิธีการรักษาและบรรเทาอาการที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้

  • พักสายตาอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้หลักการ 20-20-20 คือ ทุกๆ 20 นาทีของการใช้สายตา ให้มองไปไกลๆ ประมาณ 20 ฟุต ( 6 เมตร ) เป็นเวลา 20 วินาที เพื่อให้กล้ามเนื้อตาได้พักจากการเพ่งระยะใกล้

  • ปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ทั้งแสงสว่าง ระยะห่างจากหน้าจอ และตำแหน่งของหน้าจอ เพื่อลดความเครียดของดวงตา

  • ใช้แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ที่มีค่าสายตาที่ถูกต้อง และควรตรวจวัดสายตาเป็นประจำทุก 1-2 ปี

  • ใช้น้ำตาเทียม เพื่อหล่อลื่นดวงตาและบรรเทาอาการตาแห้ง โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใช้เครื่องปรับอากาศเป็นเวลานาน

  • ปรับการตั้งค่าหน้าจอ ลดความสว่างและปรับความคมชัดให้เหมาะสม

  • ประคบดวงตาด้วยความเย็น จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตาที่ตึงเครียดให้ลดลงได้

  • บริหารดวงตา ด้วยท่าง่าย ๆ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา

การป้องกันอาการตาล้า

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอาการตาล้า ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

  • จัดพื้นที่ทำงานให้เหมาะสม มีแสงสว่างเพียงพอ หน้าจอคอมพิวเตอร์ควรอยู่ห่างจากตาประมาณ 50-70 เซนติเมตร

  • หมั่นพักสายตาเป็นระยะตามหลักการ 20-20-20

  • กะพริบตาบ่อย ๆ เพื่อช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้นและลดโอกาสเกิดอาการตาแห้ง

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพตา เช่น ผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอ ซี และอี รวมถึงอาหารที่มีโอเมก้า 3

  • เข้ารับการตรวจสายตาเป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

  • จัดการความเครียด ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การทำสมาธิ หรือการทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย

ท่าบริหารดวงตาง่าย ๆ ป้องกันตาล้า

การบริหารดวงตาเป็นวิธีการง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา เพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตาและป้องกันอาการตาล้า

  1. กรอกตาไปมาจากซ้ายไปขวา แล้วสลับมากรอกตาจากบนลงล่าง ทำต่อเนื่องกัน 5 – 10 ครั้ง

  2. กรอกตาเป็นวงกลมไปด้านใดด้านหนึ่ง 20 ครั้ง แล้วเปลี่ยนสลับไปทำอีกด้าน อีก 20 ครั้ง

  3. มองตามระยะใกล้-ไกล โดยใช้ปากกา 1 ด้าม เลื่อนเข้าออกช้า ๆ แล้วมองตามปลายปากกา ทำซ้ำ 20 ครั้ง จากนั้นมองไปรอบ ๆ เพื่อผ่อนคลายสายตา

  4. หลับตา แล้วใช้นิ้วชี้นวดที่บริเวณหัวคิ้วไล่ไปเรื่อย ๆ จนถึงหางตา และนวดวนจนรอบดวงตา จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและช่วยคลายความเครียดของกล้ามเนื้อรอบดวงตา

สรุปบทความ

อาการตาล้าเป็นปัญหาสุขภาพตาที่พบได้บ่อย แต่หากเรารู้จักดูแลและป้องกันอย่างถูกวิธี ก็สามารถบรรเทาและป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการพักสายตาอย่างสม่ำเสมอ การปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม การบริหารดวงตา และการใส่แว่นตาที่มีค่าสายตาถูกต้อง ล้วนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับอาการตาล้า

สำหรับผู้ที่ค่าสายตาผิดปกติ การสวมแว่นตาที่มีค่าสายตาที่เหมาะสมถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ศูนย์แว่นตาไอซอพติก ศูนย์แว่นตาโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล เรามีทีมนักทัศนมาตรและจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา ออกแบบ และวิเคราะห์การใช้สายตาของคุณอย่างละเอียด และให้คำแนะนำเกี่ยวกับแว่นตาที่เหมาะสมกับรูปแบบการใช้ชีวิตของคุณ เพื่อช่วยลดอาการตาล้าและป้องกันปัญหาสุขภาพตาในระยะยาว

คำยืนยันจากผู้ใช้ แว่นตาโปรเกรสซีฟ อัจฉริยะไอซอพติก มากกว่า ท่าน คลิก

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :

ปรมาจารย์โบบิ สายด่วน : 081-538-4200

LINE ID : @isoptik

เว็บไซต์ : https://www.isoptik.com

whatsapp : +66 81-538-4200

อีเมล : isoptik@gmail.com

คำยืนยันจากผู้ใช้

คุณหน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์

คุณหน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์

ผู้สร้างภาพยนตร์ บุพเพสันนิวาส ๒ และ ละครพรหมลิขิต ★ ★ ★ ★ ★

แว่นที่ดี สำคัญมากกับการดำเนินชีวิต ดีใจที่เจอแว่นที่ถูกใจ ก็เหมือนกับบุพเพสันนิวาส ทำให้เราทำงานได้อย่างมีความสุขค่ะ

อ่านต่อ
นายแพทย์ วิชิต ศิริทัตธำรง

นายแพทย์ วิชิต ศิริทัตธำรง

หัวหน้าหน่วยจุลศัลยกรรมโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 อินเตอร์ ★ ★ ★ ★ ★

ใช้แว่นตาโปรเกรสซีฟอัจฉริยะไอซอพติกแล้ว ทำให้เหนื่อยน้อยลง มีพลังในการทำงานมากขึ้น และมีความสุขเพิ่มขึ้นในการใช้ชีวิต ครับ

อ่านต่อ

รวมคำยืนยันจากผู้ใช้แว่นตาโปรเกรสซีฟอัจฉริยะ 3 มิติ เฉพาะบุคคล อย่างยิ่งยวด สะท้านโลกา

อ่านต่อ

วิธีเดินทางมาศูนย์เเว่นตาโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ISOPTIK

เลนส์แว่นตาไอซอพติก มีจำหน่ายที่
ศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก เท่านั้น
โปรดระวังการแอบอ้าง

go to top
คุณภาพการมองเห็นมีผลกับ คุณภาพชีวิตอย่างไร ?