โดย แพทย์หญิง อรทัย สุวรรณพิมลกุล จักษุแพทย์
Keratoconus ( ภาษาไทยมีที่ใช้หลายคำ : กระจกตาโปน , กระจกตาย้วยหรือกระจกตาผิดรูป ) เป็นภาวะที่กระจกตา ( cornea ) มีการบางลงอย่างต่อเนื่องบริเวณใกล้ส่วนกลางของกระจกตา ( paraxial ) เป็นเหตุให้ความแข็งแรงของกระจกตาลดลง และมีการเปลี่ยนรูปหรือโปนมากขึ้นตามมา ภาวะนี้ไม่ได้เกิดจากการอักเสบหรือติดเชื้อ มักเกิดในตาทั้งสองข้างแต่ความรุนแรงอาจไม่เท่ากัน
การสูญเสียการมองเห็นเกิดเนื่องจากสายตาสั้น และสายตาเอียงแบบ irregular จากการโค้งผิดรูปของกระจกตา หรืออาจเกิดจากแผลเป็นซึ่งเนื่องมาจากภาวะแทรกซ้อนในโรคนี้
ความชุกของภาวะ keratoconus
ประเทศสหรัฐพบความชุกของภาวะนี้ที่ 50-200 รายต่อประชากร 100,000 คน โดยทั่วไปภาวะนี้มักพบเดี่ยว ๆ อย่างไรก็ตามบางครั้งอาจมีความเกี่ยวเนื่องกับโรคตาอื่น ๆ เช่น verneal keratoconjunctivitis , retinitis pigmentosa , Leber congenital amaurosis
หรือโรคทางกาย เช่น Ehlers-Danlos , Marfan syndromes , mitral valve prolapse , atopic dermatitis , Down syndrome
ปัจจัยเสี่ยง ที่เชื่อว่ามีส่วนสัมพันธ์กับ keratoconus
- ประวัติโรคภูมิแพ้แบบ atopy โดยเฉพาะหากมีอาการที่ตาด้วย
- การใช้คอนแทคเลนส์ชนิดแข็ง
- การขยี้ตาอย่างรุนแรง และต่อเนื่อง
อายุที่พบ : มักพบในช่วงวัยรุ่น และมักจะเป็นมากขึ้นจนถึงช่วงอายุ 30 - 40 ปี จากนั้นโรคมักจะคงที่
อาการ
- ผู้ป่วยมักมาด้วยอาการตามัว อาจมีเห็นภาพบิดเบี้ยว แสงกระจายหรือภาพซ้อน ซึ่งอาจมีประวัติเปลี่ยนแว่นบ่อย ๆ แต่ก็ยังเห็นไม่ชัด
- ระยะแรกที่เป็นโรคนี้ การใส่ soft contact lens หรือแว่น อาจทำให้การมองเห็นดีขึ้น แต่เมื่อโรคเป็นมากขึ้นอาจต้องเปลี่ยนไปใช้ contact lens ชนิดแข็งเพื่อแก้ไขสายตาหรือ contact lens ชนิดพิเศษ
อาการแสดง : แบ่งระยะของโรคเป็น 3 ระยะ
- ระยะแรก
- มักตรวจไม่พบความผิดปรกติภายนอกของกระจกตา
- อาจมีประวัติเปลี่ยนแว่นบ่อย ๆ แต่สายตาเมื่อแก้ไขแว่นก็ยังไม่ชัดมากนัก
- ตรวจพบสายตาเอียงแบบ oblique astigmatism หรือสายตาสั้นปานกลางถึงมาก
- การวินิจฉัยโรคระยะแรกต้องอาศัยการตรวจด้วยเครื่องตรวจความโค้งของกระจกตา ( computer - assisted videokeratography )จึงจะบอกได้
- ระยะปานกลาง
- พบความผิดปรกติในกระจกตา เช่น เห็นเส้นประสาทในกระจกตาชัดขึ้น เส้นผิดปรกติคล้ายรอยย่นในชั้นลึกของกระจกตา ( Vogt striae ) พบสารเหล็กสะสมที่บริเวณฐานของส่วนกระจกตาที่โปนออก ( Fleischer ring ) หรือพบแผลเป็นที่กระจกตา
- แผลเป็นที่กระจกตาพบได้หลายรูปแบบ อาจเป็นที่ชั้นผิวหรือชั้นลึกของกระจกตาก็ได้
- เนื้อกระจกตาบางลงบริเวณส่วนล่างใกล้รูม่านตา
- ตรวจวัดความโค้งของกระจกตาด้วย keratometry พบความโค้งมากกว่าปรกติ ( 45 - 52 D )
- เมื่อให้ผู้ป่วยมองลง พบว่าเปลือกตาล่างจะถูกกระจกตาที่โค้งนูนดันลงเป็นรูป V เรียกว่า Munson sign
- ระยะรุนแรง
- ตรวจวัดความโค้งของกระจกตาด้วย keratometry พบความโค้งมากถึง 52 D ขึ้นไป
- พบอาการอื่น ๆ เช่นในระยะปานกลาง
- มักพบการบวมของกระจกตาอย่างเฉียบพลันได้ ( acute corneal hydrops )
ภาพแสดง acute hydrops ( กระจกตาบวมเฉียบพลัน ) กรณีที่เป็นมาก เมื่อกระจกตาหายบวมแล้ว อาจพบเป็นแผลเป็นขาวขุ่นที่กระจกตาได้
การรักษา
- การใช้คอนแทคเลนส์ชนิดแข็งถือเป็นการรักษาหลักของโรคนี้
- ถ้าผู้ป่วยเป็นระยะแรก ๆ มักแก้ไขสายตาได้ด้วยแว่นหรือคอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มซึ่งแก้ไขสายตาเอียง ( spherical / toric soft contact lens )
- ผู้ป่วยระยะปานกลางถึงมาก มักต้องแก้ไขสายตาด้วยคอนแทคเลนส์ชนิดแข็ง
- กรณีที่ไม่สามารถใช้คอนแทคเลนส์ชนิดแข็ง อาจมีคอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษ เช่น hydrogel , piggyback หรือ scleral
- ปัญหาที่เกิดจากการใช้คอนแทคเลนส์ที่พบ เช่น แพ้คอนแทคเลนส์ แผลถลอกที่กระจกตา มีเส้นเลือดผิดปรกติเกิดที่กระจกตา ซึ่งเหล่านี้อาจทำให้ไม่สามารถใช้คอนแทคเลนส์ต่อไปได้
การรักษาด้วยการผ่าตัด ทำในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์ได้
- อาจพิจารณาผ่าตัดหรือเลเซอร์เฉพาะกระจกตาส่วนกลางที่เกิดแผลเป็น ซึ่งทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใส่คอนแทคเลนส์ได้ หรือช่วยลดโอกาสการเกิดแผลเป็นที่กระจกตาจากการใส่คอนแทคเลนส์ และลดโอกาสการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนกระจกตา
- การใส่วัสดุที่เรียกว่า intrastromal corneal ring ( Intacs ) ฝังในเนื้อกระจกตา เพื่อลดความโค้งนูนของกระจกตา มักใช้กรณีที่โรคเป็นระยะปานกลางหรือรุนแรง
ภาพแสดง Intacs
- การผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา มีหลายวิธีซึ่งแพทย์จะพิจารณาเป็นราย ๆ ไป โดยทั่วไปมักได้ผลค่อนข้างดี ผู้ป่วยมากกว่า 90% มักมีการมองเห็นที่ดีขึ้น โดยอาจใช้คอนแทคเลนส์ช่วยแก้ไขสายตาหลังการผ่าตัด
- อย่างไรก็ตามหลังการผ่าตัดผู้ป่วยจำต้องติดตามกับจักษุแพทย์ด้านกระจกตาต่อไป เนื่องจากอาจมีปัญหาแทรกซ้อนได้ เช่น มีการต่อต้านเนื้อเยื่อของกระจกตาที่เปลี่ยนหรือมีปัญหาแผลผ่าตัดหรือมีการเกิดซ้ำของโรคบนกระจกตาที่เปลี่ยนแม้จะพบน้อยมากก็ตาม
- นอกจากนี้ผู้ป่วยต้องหลีกเลี่ยงการขยี้ตาอย่างรุนแรงด้วยค่ะ