อยากได้แว่นตาชัดชัดอ่านตรงนี้

โดย O.D. อรนุช ทวีกุล

ตัดแว่นมาใหม่แต่ทำไมไม่ชัดเลย

เรามักได้ยินหลายท่านบ่นให้ฟังว่าแว่นตาตัดมาแล้วใส่ไม่ได้ มองไม่ชัดหรือชัดเกินไปใส่แล้วงง แบบนี้แล้วจะทำอย่างไรดี

อยากได้แว่นตาชัดชัดอ่านตรงนี้

ทราบกันไหมคะ ว่าการที่จะได้แว่นตาชัด ๆ สักอันขึ้นกับองค์ประกอบหลายอย่างเลยทีเดียว มาดูกันค่ะ อย่างแรก ขึ้นกับผู้ที่มีปัญหาด้ายสายตาเอง ถ้าท่านมีสุขภาพร่างการปกติ แข็งแรงดี โอกาสที่จะได้แว่นตาชัด ๆ ก็มีมากกว่าผู้ที่เป็นโรคทางกาย เช่น เบาหวาน ซึ่งจะมีค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อย ( เปลี่ยนตามระดับน้ำตาลในเลือด ) ดังนั้นคนในกลุ่มนี้มักจะบ่นว่าแว่นเพิ่งตัดมาได้ ไม่ทันไรทำไมมัวอีกแล้วหรือท่านที่เป็นโรคความดันสูงมาก ๆ มาเป็นระยะเวลานาน จอตาจะเกิดการขาดเลือดส่งผลให้ตามัว ( ซึ่งแก้ด้วยแว่นตา ก็ไม่ชัด ) ดังนั้นเราต้องหมั่นใส่ใจสุขภาพไปด้วยพร้อมกัน

ความผิดปรกติของสายตา

นอกจากนี้ ความผิดปกติทางสายตาที่แตกต่างกัน ก็ส่งผลต่อระดับความชัด และความมึนงงเมื่อเริ่มใส่แว่นแตกต่างกันด้วย ดังเช่นท่านที่มีสายตาเอียงมากในแกนองศาแนวเฉียง ( Oblique ) ท่านจะปรับตัวกับแว่นตัวใหม่ค่อนข้างยากกว่าผู้อื่น เพราะการรับรู้ภาพจะเปลี่ยนไป ที่เรามักได้ยินกันบ่อยก็คือ " เห็นพื้นเอียงด้านใดด้านหนึ่ง หรือพื้นใกล้ตัวลึกต่ำลงไปหรือสูงขึ้น " อย่างไรก็ตามภาวะนี้จะเกิดขึ้นในระยะเวลาไม่เกิน 1 เดือน ( ขึ้นกับปริมาณของสายตาเอียง ) หลังจากนี้สมองจะปรับตัวได้เอง และเราก็จะเห็นพื้นเรียบเป็นปกติ แต่บางร้านอาจแก้ไขสายตาให้ท่านในปริมาณน้อย ๆ ก่อน เพื่อให้ท่านปรับตัวได้ในระยะแรก จะได้ไม่งง แต่ก็ทำให้ระดับความชัดลดลง ( เป็นที่มาของการบ่นว่าแว่นยังมัว )

การสื่อสารในขั้นตอนการตรวจ

แต่ปัญหาที่สำคัญที่มักพบบ่อยมักเกิดขึ้นในขณะตรวจวัดสายตา ซึ่งผู้ตรวจต้องการข้อมูลย้อนกลับ ( feedback ) ที่สะท้อนถึงการรับรู้ของท่าน แต่ผู้ที่มีปัญหาด้านสายตาบางท่านอาจไม่เข้าในคำถามหรือไม่แน่ใจในคำตอบว่าเห็นชัดหรือไม่หรือเปรียบเทียบผลไม่ได้หรือไม่มีสมาธิในการทดสอบ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการประเมินเพื่อตัดสินในจ่ายค่าสายตาที่เหมาะสมเพื่อให้ท่านได้แว่นที่คมชัด และสบายตา

ดังนั้นหากเกิดการผิดพลาด ณ ขั้นตอนนี้จะส่งผลให้แว่นที่ได้มานั้น " ชัดแต่มึนงง หรือไม่ชัด " นั่นเอง ดังนั้นขณะทำการตรวจวัดต้องมีสมาธิในการทดสอบด้วยนะคะ

ความผิดพลาดจากผู้ตรวจวัดสายตา

สาเหตุความไม่ชัดประการที่สองมาจาก ผู้วัดสายตา จากการจดบันทึกข้อมูลผิดพลาดหรือข้ามขั้นตอนการทดสอบบางขั้นตอนไป โดยเฉพาะการประเมินภาวะการเพ่ง และการคลายกล้ามเนื้อตา ( โดยใช้เลนส์แว่นตา ) ซึ่งมักจะทำให้การวัดสายตาในเด็กวัยเรียนหรือผู้ที่ใช้สายตาระยะใกล้มาก ๆ หรือผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 2 - 3 ชม.ต่อวัน ซึ่งคนกลุ่มนี้มักมีอาการเพ่งค้าง จากการที่กล้ามเนื้อตาเกิดการเกร็ง ซึ่งหากใช้วิธีการวัดโดยใช้เครื่องตรวจวัดสายตาคอมพิวเตอร์อย่างเดียว ผลที่ได้มักเกิดการผิดพลาด ( ค่าสายตาจะปรากฎผลออกมาเป็นสายตาสั้นมาก ๆ ทั้งที่เด็กมีสายตาสั้นเพียงเล็กน้อยหรือบางรายเด็กมีสายตาปกติ ) หากผู้วัดตาจ่ายเบอร์แว่นตามผลจากคอมพิวเตอร์อย่างเดียว แว่นที่ตัดไปแล้วย่อมใส่แล้วชัดแต่มึนงงและไม่สบายตา นอกจากนี้ยังส่งผลให้สายตาสั้นขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วยค่ะ

ผู้ประกอบแว่นตา ประกอบไม่ถูกต้อง

ประการที่สาม ความมัวจากผู้ประกอบแว่นจากการตั้งศูนย์แว่นผิดไม่สอดคล้องกับเลนส์แต่ละชนิดหรือไม่ถูกต้องกับชนิดสายตาหรือศูนย์ตาของลูกค้า ทำให้ใส่แว่นไม่ชัดเท่าที่ควรจะเป็นหรือมัวไปเลยถ้าโครงสร้างเลนส์ซับซ้อน ( โปรเกรสซีฟ )

แว่นตาเสียรูป

ประการสุดท้าย จากตัวแว่นเอง แว่นที่เบี้ยวหรือหน้าแว่นแอ่นเข้าหรือโค้งออก ( จากการนั่งทับ ) แว่นที่ขาสูงต่ำไม่เท่ากัน ขากางไปหนึ่งข้าง ( จากการถอดแว่นมือโดยใช้มือข้างเดียว ) ทำให้ศูนย์ของแว่นเสียไป ส่งผลต่อค่าสายตาเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากแสงตกลงสู่จอตาผิดตำแหน่ง ผลคือผู้ใส่จะเกิดอาการมึนงงและมัว ซึ่งจะมีผลมากในผู้ที่มีสายตาผิดปกติมาก ๆ หรือผู้ที่ใช้เลนส์แว่นตาโครงสร้างซับซ้อน ( โปรเกรสซีฟเลนส์ ) ท่านลองนึกถึงรถยนต์ หากตั้งศูนย์ดีคนขับก็ขับรถได้สบาย รถไม่โคลงเคลง แต่ถ้าศูนย์แว่นตาไม่ดี ท่านก็จะเกิดอาการเสียศูนย์ได้เพราะตามัว และมึนงงนะคะ

ปัญหาที่พบมากที่สุด

ปัญหาจากตัวแว่นที่พบบ่อยมากในปัจจุบัน คือ แว่นเดิมที่ใส่กันมานั้น ไม่ได้ตั้งศูนย์หรือศูนย์ไม่ตรง แต่บางท่านใส่มาหลายปี จึงทำให้สมองเกิดการปรับตัว ท่านจึงรู้สึกชิน และรู้สึกชัดกับแว่นตัวที่ใส่ ( ทั้ง ๆ ที่ใส่ตอนแรก ๆ ก็ปวดศีรษะเอาเรื่องเหมือนกัน )

ดังนั้นเมื่อมาตัดแว่นตัวใหม่ แม้ว่าแว่นตัวใหม่จะตั้งศูนย์ได้ถูกต้อง ท่านก็จะยังรู้สึกมึนงง และไม่สบายตาในระยะแรก มีบางท่านถึงกับใส่แว่นตัวใหม่ไม่ได้เลยก็มี ( ทั้ง ๆ ค่าสายตาถูกต้อง และศูนย์แว่นก็ถูกต้อง) ซึ่งเป็นผลจากผู้ใส่คุ้นเคยกับสิ่งที่ผิดพลาดมาตลอด ( เกิด Prism effect ) ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงต้องรักษาด้วยเลนส์พิเศษ ( เลนส์ปริซึม ) จึงจะเห็นชัด

เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว เวลาไปตรวจวัดสายตาก็ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และอย่าลืมหยิบแว่นตาตัวเก่าตัวเก่งของท่านไปด้วยนะคะเพราะจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมากกับทางร้าน และตัวท่านเองค่ะ

คำยืนยันจากผู้ใช้

คุณหน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์

คุณหน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์

ผู้สร้างภาพยนตร์ บุพเพสันนิวาส ๒ และ ละครพรหมลิขิต ★ ★ ★ ★ ★

แว่นที่ดี สำคัญมากกับการดำเนินชีวิต ดีใจที่เจอแว่นที่ถูกใจ ก็เหมือนกับบุพเพสันนิวาส ทำให้เราทำงานได้อย่างมีความสุขค่ะ

อ่านต่อ
นายแพทย์ วิชิต ศิริทัตธำรง

นายแพทย์ วิชิต ศิริทัตธำรง

หัวหน้าหน่วยจุลศัลยกรรมโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 อินเตอร์ ★ ★ ★ ★ ★

ใช้แว่นตาโปรเกรสซีฟอัจฉริยะไอซอพติกแล้ว ทำให้เหนื่อยน้อยลง มีพลังในการทำงานมากขึ้น และมีความสุขเพิ่มขึ้นในการใช้ชีวิต ครับ

อ่านต่อ

รวมคำยืนยันจากผู้ใช้แว่นตาโปรเกรสซีฟอัจฉริยะ 3 มิติ เฉพาะบุคคล อย่างยิ่งยวด สะท้านโลกา

อ่านต่อ

เลนส์แว่นตาไอซอพติก มีจำหน่ายที่
ศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก เท่านั้น
โปรดระวังการแอบอ้าง

go to top
คุณภาพการมองเห็นมีผลกับ คุณภาพชีวิตอย่างไร ?