โดย ดร.นพดล ศรีสุรัตนเมธากุล Doctor of Optometry
สายตาสั้น
สายตาสั้นหมายถึง การที่ภาพของวัตถุที่อยู่ในระยะไกล เมื่อผ่านเข้าตาแล้วภาพของวัตถุนั้นจะไปโฟกัสก่อนที่จะถึงจอประสาทตา ทำให้ภาพที่ไปตกที่จอประสาทตาไม่ชัด จึงทำให้การมองเห็นในระยะไกลมัวลง แต่ถ้าเราเลื่อนวัตถุนั้นเข้ามาใกล้มากขึ้นก็จะทำให้จุดโฟกัสของภาพถอยหลังมากขึ้น จนเมื่อเราเลื่อนภาพเข้ามาจนจุดโฟกัสตกที่จอประสาทตาพอดีก็จะทำให้เราเห็นภาพได้ชัดเจน
การวัดสายตา
ในการวัดสายตาของคนไข้ที่มีปัญหาสายตานั้น อย่างแรกที่เราต้องคำนึงถึงก็คือ ระยะห่างที่ใช้ในการวัดสายตา ระยะในการวัดที่ดีควรจะห่างประมาณ 6 เมตร หรือ 20 ฟุต โดยวัดจากตาของคนไข้จนถึงภาพเป้าหมายที่ให้คนไข้มอง ถ้าระยะที่ใช้วัดน้อยกว่า 6 เมตร จะทำให้ค่าที่ได้มากกว่าสายตาจริง เนื่องจากระยะที่ใกล้เข้ามาจะทำให้กลไกการเพ่งของคนไข้ทำงานเองโดยอัตโนมัติ รวมถึงขนาดของภาพที่ใช้วัดจะต้องเหมาะสมกับระยะห่าง เนื่องจากชาร์ตที่เรานิยมใช้กันจะมี 2 ขนาด คือ ชาร์ตสำหรับระยะห่าง 3 เมตร และชาร์ตสำหรับระยะห่าง 6 เมตร ถ้าเรานำชาร์ตมาใช้ผิดระยะก็จะทำให้ค่าสายตาที่ได้ผิดพลาดไปด้วย
ค่า VA
หลังจากที่เรากำหนดระยะและขนาดของภาพได้แล้ว สิ่งที่เราต้องทำการวัดอย่างแรกก็คือ VA() ซึ่งก็คือความสามารถในการมองเห็นนั่นเอง โดยที่เราจะเริ่มจากวัดทีละข้าง โดยให้คนไข้ใช้ที่ปิดตา ( Occluder ) ปิดตาข้างที่ไม่ได้วัดโดยที่ไม่ต้องหลับตา เมื่อวัดที่ละข้างเสร็จแล้วค่อยวัดโดยที่เปิดตาทั้งสองข้าง ในกรณีที่คนไข้มีแว่นสายตาอันเก่าอยู่แล้วจะต้องวัด VA 2 ครั้งโดยครั้งแรกให้วัดตาเปล่า ส่วนครั้งที่ 2 ให้วัดโดยที่ให้คนไข้สวมแว่น เนื่องจากจะได้รู้ว่าแว่นอันเก่าที่คนไข้ใส่นั้นยังสามารถมองเห็นได้ดีอยู่หรือไม่ ซึ่งในคนปกติค่า VA ที่ได้ควรจะเป็น 20/20 หรือ 6/6
Pinhole
ในคนที่มีปัญหาสายตา ค่า VA จะไม่อยู่ในเกณฑ์ปกติ เราจะต้องใช้ pinhole ในการทดสอบเพื่อดูว่าปัญหาสายตานั้นสามารถแก้ไขด้วยแว่นสายตาได้หรือไม่ ถ้าคนไข้มองผ่าน pinhole แล้วได้ค่า VA ดีขึ้น แสดงว่าปัญหาสายตานั้นสามารถแก้ไขได้ด้วยแว่นสายตา แต่ถ้าคนไข้มองผ่าน pinhole แล้วได้ค่า VA คงที่หรือแย่ลง แสดงว่าปัญหาสายตานั้นไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยแว่นสายตา ควรแนะนำให้ไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุการมองเห็นไม่ชัด เนื่องจากอาจจะเกิดจากปัญหาสุขภาพทางตาหรือโรคตา เพื่อจะได้แก้ไขให้ตรงกับปัญหาต่อไป
วัดสายตาด้วยวิธี Objective
เมื่อเราวัดค่า VA เรียบร้อยแล้ว เราก็จะเริ่มวัดสายตาด้วยวิธี Objective คือการที่เราหาค่าสายตาเบื้องต้นโดยที่คนไข้ไม่ต้องตอบอะไรทั้งสิ้น ผู้วัดจะเป็นผู้หาค่าสายตานั้นออกมาเองโดยวิธีที่ใช้สามารถใช้ได้ทั้งวิธีการ Retinoscopy หรือการใช้ Autorefraction หลังจากที่เราได้ค่าสายตาเบื้องต้นมาแล้ว เราจะทำการหาค่าสายตาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนไข้ ด้วยวิธีการวัดหาค่าสายตาแบบ Subjective ซึ่งคนไข้จะต้องให้ความร่วมมือในการวัดโดยตอบคำถามซึ่งจะแบ่งเป็นขั้นตอนย่อย ๆ ต่อไปนี้
1. หาค่าสายตาสั้นหรือยาวที่ดีที่สุดก่อนหาค่าสายตาเอียงโดยวิธี Red - green Test หรือวิธี Step down
2. หาค่าสายตาเอียงและองศาของตาเอียงที่เหมาะสมที่สุดโดยการใช้ Cross Cylinder
3. หาค่าสายตาสั้นหรือสายตายาวที่ดีที่สุดอีกครั้งโดยวิธี Red - Green Test หรือวิธี Step down เพื่อให้ได้ค่าสายตาที่ทำให้การมองเห็นดีที่สุดในตาแต่ละข้างโดยที่ควบคุมไม่ให้เกิดการให้ค่าสายตามากเกินโดยขั้นตอนทั้งหมดนี้จะทำกับตาทีละข้าง ซึ่งจะทำให้ได้ค่าสายตาที่ดีที่สุดสำหรับตาแต่ละข้างแล้วเราจึงดำเนินการวัดสายตาขั้นตอนต่อไป
4. หาค่าสายตาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการใช้ตา 2 ข้างร่วมกัน ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ เนื่องจากการวัดสายตาทีละข้างโดยปิดตาทีละข้างนั้นอาจทำให้เกิดการ Accommodation ของตาแต่ละข้างในระดับที่ต่างกันได้ เราจึงต้องหาค่าสายตาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับที่จะทำให้การมองเห็นของ 2 ตาดีที่สุดและทั้ง 2 ตาเห็นได้ใกล้เคียงกันมากที่สุด โดยวิธี Step down ตาทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน แต่ให้ใช้ที่ปิดตาปิดสลับไปมาเพื่อให้คนไข้เปรียบเทียบความคมชัดของตาแต่ละข้าง
5. เมื่อได้ค่าสายตาที่เหมาะสมกับคนไข้แล้ว ก็จะให้คนไข้ใส่แว่นทดลองเดิน หรือใช้สายตาตามปกติ เพื่อดูว่ามีปัญหาเรื่องความสบายตาหรือไม่ หรือใส่แล้วมีอาการปวดหัวหรือปวดตาหรือไม่
การให้ค่าสายตาในคนที่เป็นสายตาสั้นนั้น เราจะให้ค่าสายตาที่น้อยที่สุดที่คนไข้สามารถมองเห็นได้ดีที่สุดและสบายตาที่สุด
เนื่องจากธรรมชาติของคนสายตาสั้นนั้นจะชอบเลนส์ที่มีกำลังสายตาที่สูงกว่าค่าสายตาจริง เพราะจะรู้สึกว่าให้ความคมชัดมากขึ้น สว่างมากขึ้น แต่ความคมชัดที่มากขึ้นนั้นเกิดจากระบบการเพ่ง ( Accommodation ) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในระยะใกล้ ทำให้การมองในระยะใกล้ยากขึ้น ต้องเพ่งมากขึ้น เกิดอาการปวดตาเมื่อยตาเวลามองใกล้ หรือใช้สายตาระยะใกล้ได้น้อยลง