โดย แพทย์หญิง ณัฐธิดา นิ่มวรพันธุ์ ( จักษุแพทย์ที่ปรึกษาประจำศูนย์แว่นโปรเกรสซีฟเฉพาะบุคคล ไอซอพติก )
หลายท่านคงมีความสงสัยว่า ทำไมอุบัติเหตุทางรถยนต์มักเกิดเวลาโพล้เพล้มากกว่าเวลาที่ท้องฟ้าสว่างหรือเวลาที่มืดไปเลย ก่อนอื่นต้องเข้าใจกลไกการมองเห็นของดวงตากันก่อน
กลไกการมองเห็นของดวงตา
การมองเห็นของดวงตาเริ่มต้นจากแสงเดินทางผ่านกระจกตา (Cornea) รูม่านตา (Pupil) และเลนส์ตา (Lens) ไปรวมแสงที่จอประสาทตา (Retina) โดยมีศูนย์กลางของจุดรับแสงที่อยู่บนจอประสาทตาเรียกว่า จุดภาพชัด (Fovea) หลังจากนั้นจึงถ่ายทอดกระแสประสาท (neural signals) ไปตามเส้นประสาทตา (Optic nerve) และไปสู่สมองเพื่อแปลผลต่อไป โดยเลนส์ตาทำหน้าที่ในการปรับโฟกัส และรูม่านตาทำหน้าที่ในการปรับความสว่าง
จอประสาทตา ประกอบด้วยเซลล์รับแสงอยู่ 2 ชนิด คือ
- แท่งเซลล์รูปกรวย (Cone Cells) มีประมาณ 4.5 ล้านเซลล์ รวมตัวอยู่บริเวณจุดภาพชัดมากที่สุด ทำหน้าที่ในการเห็นสี จะทำหน้าที่ได้ดีเมื่อมีแสงสว่างและยังสามารถรับรู้รายละเอียดได้ชัดกว่าเซลล์รูป
- เซลล์รูปแท่ง (Rod Cells) มีประมาณ 90 ล้านเซลล์ จะกระจายตัวอยู่รอบนอกจุดภาพชัดของจอประสาทตา ทำหน้าที่ในการมองเห็นในที่มืด แต่ไม่สามารถแยกแยะสีได้ ทำให้เรามองไม่เห็นสีในที่ที่มีแสงน้อย
เซลล์รับแสงทั้งสองชนิดต้องใช้เวลาปรับตัวจากที่สว่างไปที่มืด โดยเซลล์รูปกรวย (เซลล์ที่ใช้ในการเห็นสี) ใช้เวลาในการปรับตัวประมาณ 5-7 นาที แต่เซลล์นี้ไม่สามารถมองเห็นได้ดีในที่มืด ส่วนเซลล์รูปแท่งซึ่งเป็นเซลล์ที่ใช้ในการมองเห็นในที่มืดเป็นหลัก ต้องใช้เวลาปรับตัวประมาณ 20-30 นาที จึงจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นในช่วงโพล้เพล้จึงเป็นช่วงรอยต่อที่จะเปลี่ยนจากสว่างไปมืด จึงเป็นช่วงที่เซลล์รับแสงทั้งสองชนิดอยู่ในช่วงปรับตัว ทำให้การมองเห็นไม่ดีเท่าที่ควร จึงส่งผลทำให้เกิดอุบัติเหตุได้บ่อยกว่าช่วงเวลาอื่น