แว่นตาจะมีอยู่ 2 แบบ คือ แว่นตาแห่งความทุกข์กับแว่นตาแห่งความสุข
แว่นตาแห่งความทุกข์คือ แว่นที่ใส่แล้วปวดหัว ใส่ไม่สบาย ใส่แล้วปรับตัวได้ยาก ปรับตัวไม่ได้เลย หรือ ใช้เวลาปรับตัวนาน ใส่แล้วต้องฝืนปรับตัวเข้าหาแว่นตาอยู่ตลอดเวลา ใส่แล้วกะระยะลำบาก ใส่แล้วถูกรบกวนกับภาพบิดเบี้ยวด้านข้างอยู่ตลอดเวลา เดินแล้วกะระยะไม่ได้พื้นลอย ใส่ไม่สบาย ต้องคอยถอดเข้า-ออกทั้งวัน นั่นคือแว่นแห่งความทุกข์ และเป็นแว่นที่ใส่แล้วหมดแรง ใส่แล้วอ่อนเพลีย ใส่แล้วเครียด นี่เป็นแว่นตาแห่งความทุกข์ แว่นที่ใส่แล้วไม่มีความสุข ซึ่งแว่นเหล่านี้ราคาจะมีให้เราเลือกตั้งแต่หลักพันถึงหลักแสนบาท เป็นแว่นโปรเกรสซีฟเทคโนโลยีเก่าที่ใส่แล้วมีความทุกข์ เพราะว่าแว่นตาเหล่านี้ไม่ใช่แว่นที่ถูกสร้างขึ้นมาเฉพาะบุคคลเข้าหาตัวเราอย่างถูกต้อง เที่ยงตรง แม่นยำ ดังนั้นสมองส่วนการมองเห็นของเราจึงต้องพยายามฝืนเพ่ง ปรับเข้าหาแว่นอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นแว่นที่ใส่แล้วเหนื่อย ใส่แล้วไม่สบาย ใส่แล้วต้องสูญเสียพลังสมองส่วนควบคุมการมองเห็นมาก ทำให้สมองส่วนอื่นมีพลังน้อยลงในการคิด การอ่าน การควบคุม การทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เป็นแว่นที่ใส่แล้วรู้สึกหมดพลัง ทำงานได้ช้า อ่านหนังสือได้ช้า ต้องใช้ความพยายามที่จะเข้าใจมากกว่าปกติ ซึ่งอาการจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ตามวัยที่เพิ่มขึ้น
แว่นแห่งความสุขคือ แว่นที่ใส่แล้วทำงานได้เร็วขึ้นแต่เหนื่อยน้อยลง หาเงินได้มากขึ้น ทำงานได้เร็วกว่าปกติ ขับรถสบายโดยเวลามองกระจกข้าง เราไม่ต้องคอยหันทั้งศีรษะ แล้วก็ต้องคอยหลบภาพบิดเบี้ยวด้านข้างเหมือนกับแว่นโปรเกรสซีฟแห่งความทุกข์ทั่วไป แว่นตาของไอซอพติกเป็นแว่นแห่งความสุขที่สามารถทำให้ช่วงเวลาการรับประทานอาหารกับครอบครัวเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข หลังอาหารสามารถที่จะเล่นกับลูก เล่นกับภรรยาได้ เพราะยังมีพลังเหลือ
แว่นของไอซอพติกไม่ได้ถูกจำกัดแค่เพียงแค่นี้ แต่ยังเป็นแว่นแห่งพลังคือ หลังจากเหนื่อยกับงานมาทั้งวันสามารถมีพลังเหลือเพียงพอที่จะทำในสิ่งที่เราอยากทำ นี่เป็นแว่นแห่งความสุขที่จะสร้างห้วงเวลาแห่งความสุข แว่นไอซอพติก เป็นแว่นที่สร้างความสุข สร้างความทรงจำดีๆ ให้กับผู้ใช้ทุกคน
เราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ผมไม่ได้บอกว่าให้เรามีความสุขโดยไม่ต้องทำงาน แต่ผมหมายถึงความสุขในการทำงาน ส่วนตัวผมเอง ผมมีความสุขกับการทำงานตั้งแต่เล็ก ความสุขของผมเกิดขึ้นตั้งแต่ผมจำความได้คือ ได้ทำให้ลูกค้าที่เข้ามาที่ร้านสว่างการแว่น ของคุณพ่อให้เขามีความสุข ผมถูกคุณพ่อฝึกสอน และถูกลูกค้าฝึกสอนตั้งแต่เด็ก ให้มีความสุขที่สามารถทำให้คนอื่นมีความสุข ผมจึงสนุกสนานกับการเสิร์ฟน้ำให้กับลูกค้า คอยดู หยิบกรอบแว่น เช็ดแว่นให้กับลูกค้า ล้างแว่นให้กับลูกค้า ดังนั้นสิ่งที่ผมอยากจะฝากคือ ไม่มีใครยากจนเกินกว่าที่จะให้ ในยามเศรษฐกิจไม่ดี การทำงานหนักขึ้นไม่ได้ช่วยอะไร แต่การทำงานที่ฉลาดขึ้นช่วยได้ ถ้าเราทำงานได้เร็วขึ้นแต่เหนื่อยน้อยลง สมองเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น เราก็สามารถที่จะควบคุมรายจ่าย แล้วก็เพิ่มรายได้ได้