ทำไมเราจึงต้องมีคุณภาพการมองเห็นชัดทุกระยะ ความสามารถในการมองเห็นชัดทุกระยะ เป็นความสามารถที่เราเคยมีตอนเราเป็นหนุ่มสาว จากประสบการณ์ในการทำแว่นให้กับคนเป็นแสนคนสามารถบอกบอกได้เลยว่า ถ้าเราสามารถที่จะเพิ่มคุณภาพการมองเห็น เราก็สามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตได้ เรื่องนี้มีความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของเรา
ถ้าเราสามารถที่จะเพิ่มคุณภาพการมองเห็นของคนในวัย 60 ปี แต่เราสามารถเพิ่มคุณภาพการมองเห็นของคนในวัย 60 ปี ให้กลับขึ้นมาใกล้เคียงกลับตอนเขาอายุ 30 ได้ ซึ่งคนนั้นจะมีพลังสมองเพิ่มขึ้น มีความเป็นหนุ่มเป็นสาวมากขึ้น เสมือนเขาได้กลับไปอายุ 30 ปี พลังแห่งวัยหนุ่มสาวจะกลับคืนมาใหม่ จากการทำงานแล้วล้า คิดอะไรไม่ออก ฉลาดตอนเช้า ตอนบ่ายความฉลาดลดลง พอตอนเย็นความฉลาดแทบไม่เหลือเลย แล้วรู้สึกว่าไม่อยากทำอะไรเลย คนที่อายุยังไม่ถึง 40 ปี จะยังไม่มีความเข้าใจตรงนี้ แต่คนที่ 40 ปีขึ้นไป อาการจะเป็นตามวัยคือ หลังจากทำงานไปวันนึงประมาณ 8 - 12 ชั่วโมง พอกลับถึงบ้าน หมดแรง รู้สึกไม่อยากทำอะไร หมดสภาพ รู้สึกมีอาการปวดตา รู้สึกล้า คิดอะไรไม่ออก ไม่อยากทำอะไร ออยากนอนอย่างเดียว
อาการเหล่านี้แก้ไขได้ ชีวิตคนเราไม่ได้มีแค่ว่า เราทำงานกลับถึงบ้านก็นอน ถ้าเราต้องการมีชีวิตแบบนั้น สำหรับผมมันเป็นชีวิตที่มีคุณภาพชีวิตที่ต่ำ ทำไมถึงเรียกว่า คุณภาพชีวิตที่ต่ำทั้ง ๆ ที่มีรายได้หลายหมื่นบาท หลายแสนบาท หลายล้านบาท หรือบางคนหลายสิบล้านบาท แต่จะมีประโยชน์อะไร ถ้าเรามีรายได้มหาศาล เมื่อเรากลับถึงบ้าน แล้วหมดสภาพ ไม่มีพลังงานหลงเหลือที่จะเล่นกับลูก กุ๊กกิ๊กกับภรรยา สนุกสนานกับกีฬา สิ่งที่เราชอบ หรืองานอดิเรกที่เราชอบ แต่เราอยากจะพักผ่อนอย่างเดียวเลย เพราะว่าเราไม่มีพลังงานหลงเหลือ ซึ่งที่ไอซอพติกเราสร้างแว่นตาขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ เราไม่ได้ทำแว่นที่ทำให้คนมองเห็นชัดเท่านั้น แต่เราทำแว่นที่ทำให้คนสามารถที่จะทำงานได้ดีขึ้น เร็วขึ้น แต่เหนื่อยน้อยลง มันไม่ใช่เป็นเรื่องของว่า ทำแว่นให้คนใส่แล้วฉลาดขึ้น ถึงแม้ว่าแว่นไอซอพติกใส่แล้วจะฉลาดขึ้นก็ตาม ใส่แล้วรวยขึ้นก็ตาม แต่เงินไม่ใช่ทุกอย่าง ความร่ำรวยไม่ใช่ทุกอย่าง ไอซอพติกเราทำแว่นที่สร้างความสุข ใส่แล้วร่ำรวยความสุข ใส่แล้วมีพลังเหลือเฟือที่จะทำ ในสิ่งที่เราอยากจะทำจริง ๆ หลังจากทำงานเสร็จแล้วยังมีพลังเหลือไปทำเรื่องที่อยากทำจริง ๆ มีพลังเหลือที่จะไปดูแลคนที่เรารัก ใช้เวลากับคนที่เรารักอย่างมีคุณภาพ จะมีประโยชน์อะไรถ้าเกิดว่าเรามีเงินมากมาย เราพาครอบครัวไปกินข้าว แล้วเราไปนั่งหลับบนโต๊ะอาหาร หรือไม่อยู่ในภาวะที่มีพลังหลงเหลือที่จะคุย หัวเราะ ยิ้ม คุยกันประสาพ่อ - ลูก สามี - ภรรยา อย่างมีความสุข เนื่องจากไม่อยู่ในภาวะที่จะคุย ไม่มีแรงที่จะคุย ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะคุย เพราะอยากพักผ่อน ล้า เหนื่อย คนที่รู้สึกเหนื่อยอยากพักผ่อน ไม่อยากทำอะไร
ปัญหาเหล่านี้แก้ไขได้ ถ้าเราแก้ให้ตรงจุด คนเราต้องใช้ความพยายามในการมองเห็นมากขึ้น ต้องเพ่งมากขึ้น ตามวัยที่เพิ่มขึ้น และคนที่อายุเข้าสู่วัย 40 ปี ความสามารถในการเพ่งจะเริ่มไม่เพียงพอในการใช้สายตาที่ระยะใกล้ และถ้ามีการบริหารจัดการที่ไม่เหมาะสม ด้วยการฝืนใช้สมองทำงานแทนแว่น ด้วยการใช้แว่นตาคุณภาพต่ำ แว่นตาเทคโนโลยีต่ำ หรือแม้แต่การใช้แว่นโปรเกรสซีฟ คุณภาพต่ำ เทคโนโลยีเก่า ที่ไม่ได้ออกแบบเฉพาะบุคคล จะทำให้เราจะต้องฝืนปรับตัวเข้าหาแว่นอยู่ตลอดเวลา ด้วยการใช้สมองฟื้นเพ่ง และทำให้สมองของเราต้องทำงานหนัก
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า แว่นโปรเกรสซีฟรุ่นไหน แบบไหน ที่ดีกับไม่ดี เราจะแยกได้อย่างไร ?
หลายคนคงเข้าใจว่าเลนส์โปรเกรสซีฟที่ดี จะต้องมีมุมมองที่กว้าง มองใกล้กว้าง มองระยะกลางกว้าง มองไกลกว้าง เลนส์ที่กว้างที่สุดในโลกคือ เลนส์ชั้นเดียว แว่นชั้นเดียว ราคาคู่ละไม่กี่ร้อยบาท นั่นคือ แว่นตาเลนส์แว่นตาที่มองได้กว้างที่สุดในโลก รองลงมาคือ แว่น 2 ชั้น ซึ่งราคาประมาณไม่เกิน 1,000 บาท ก็จะมองไกลได้กว้าง มองใกล้ได้กว้าง
แล้วเลนส์โปรเกรสซีฟที่ดี ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร เลนส์โปรเกรสซีฟที่ดีต้องมองได้กว้างใช่หรือไม่ ?
คำตอบคือ ผิด เลนส์โปรเกรสซีฟที่กว้างที่สุดในโลก ถูกผลิตขึ้นมาเมื่อ 80 ปีที่แล้ว ภาษาอังกฤษเราเรียกว่า เลนส์ที่เป็น Hard Design หรือเป็นเลนส์ที่มีโครงสร้างแบบที่ใช้วิธีการถ่างให้พื้นที่มองไกล กลาง ใกล้ ทุกโซน มีพื้นที่กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเอาภาพบิดเบี้ยวไปกองไว้ด้านข้าง ซึ่งเลนส์ดังกล่าวจะมีภาพติดอยู่ด้านข้างสูงมาก เวลาใส่จะปรับตัวยากมาก และใส่ไม่สบายเลย เพราะถูกรบกวนด้วยภาพบิดเบี้ยวด้านข้าง ใส่แล้วจะมีอาการคลื่นใส้ อาเจียน วิงเวียน ซึ่งเลนส์ลักษณะนี้ เป็นเลนส์ที่ยังใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากมีความพยายามไปทำให้กว้าง เพื่อที่จะบอกทุกคนว่าเลนส์ของเราดี เพราะ เลนส์ของเรากว้าง เลนส์ของเราจึงมีราคาแพง ซึ่งเลนส์พวกนี้ไม่ได้ขายกันคู่ละหมื่น แต่ขายกันคู่ละ 50,000 100,000 บาท และเขาบอกว่าเลนส์ของเขากว้าง ความกว้างไม่มีประโยชน์ ถ้าความกว้างนั้นมาด้วยภาพบิดเบี้ยวมหาศาลด้านข้าง และมากับพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงกำลังเลนส์ที่ไม่นุ่มนวล ใส่แล้วฝืนธรรมชาติ เดินลงบันไดลำบาก กะระยะลำบาก โฟกัสภาพได้ช้า ที่สำคัญที่สุดคือ ใส่ไม่สบาย แล้วสมองจะต้องฝืนปรับตัวเข้าหาความบิดเบี้ยวของภาพด้านข้างตลอดเวลา ใส่แล้วรู้สึกล้า เหนื่อย และไม่อยากใส่แว่น ใส่ไม่สบาย รู้สึกทันทีว่าแว่นเป็นส่วนเกินของร่างกาย แว่นไม่ใช่ส่วนหนึ่งของร่างกาย และที่สำคัญที่สุดคือ ตอนนี้บริษัทผู้ผลิตเลนส์ทั่วโลก พยายามทำเลนส์โปรเกรสซีฟที่มองได้กว้าง ภาพบิดเบือนด้านข้างสูง และบริษัทผู้ผลิตเลนส์เหล่านี้ก็บอกกับผู้ประกอบวิชาชีพด้านสายตา และร้านแว่นว่า เลนส์โปรเกรสซีฟที่ดีกว่าคือ เลนส์ที่กว้างกว่า ซึ่งเป็นการเดินผิดทาง และสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทั่วโลก ผู้บริโภคก็ไม่ทราบ ร้านแว่นก็โดนหลอกมาอีกทีนึง ผู้ประกอบการด้านสายตาก็ถูกหลอกมาอีกทีนึง กลายเป็นว่าแทบจะทุกคน ล้วนแต่โดนหลอก ผู้บริโภคก็โดนหลอกให้ซื้อเลนส์คุณภาพต่ำ ในราคาแพง ถามว่าจ่ายเงิน 50,000 บาท ได้แว่นโปรเกรสซีฟที่ใส่ไม่สบาย แพงหรือไม่ ? ขณะที่ไอซฮพติกสามารถสร้างแว่นตาเฉพาะบุคคลราคาเริ่มต้นที่ 15,000 บาท ให้ใส่สบายกว่าได้ เพราะการพัฒนาเทคโนโลยีของไอซอพติก เราสร้างแว่นที่ใส่สบาย เป็นธรรมชาติ ใส่แล้วเหมือนไม่ได้ใส่แว่น ใส่แล้วโฟกัสภาพได้เร็วเป็นธรรมชาติ ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงที่เป็นเฉพาะบุคคล เป็นการสร้างแว่นเข้าหาคน ไม่ใช่คนปรับตัวเข้าหาแว่น
เลนส์ที่ผมใส่อยู่จะเป็นเลนส์โปรเกรสซีฟคู่ละ 500,000 บาท เป็นรุ่นท็อปของไอซอพติก ซึ่งคุณสมบัติคือ ตาของผมทั้ง 2 ข้าง สามารถที่จะเหลือบมองภาพด้านข้างได้โดยที่ถ้าไม่ล้ม และเป็นธรรมชาติ ผมสามารถที่จะขยับศีรษะมองได้ทุกตำแหน่งที่ผมต้องการ และเมื่อผมเหลือบลงมามองใกล้ ผมสามารถโฟกัสภาพในทันที และภาพไหวด้านข้างแทบไม่มีเลย
เลนส์โปรเกรสซีฟที่ดีที่สุดคือ เลนส์โปรเกรสซีฟที่มีภาพบิดเบี้ยวด้านข้างน้อยที่สุด ไม่ว่าจะมองที่ระยะไหนก็ตาม เลนส์ที่ภาพบิดเบี้ยวด้านข้างน้อยกว่าคือเลนส์ที่ดีกว่า เวลาเราทดสอบแว่นโปรเกรสซีฟแบบทดสอบกันอย่างนี้ การมองกล้องที่ระยะโฟกัสประมาณ 2 เมตร ขยับขวา - ซ้าย ภาพต้องไม่เบี้ยว มองไกลผ่านส่วนบนสุด ด้านข้าง ภาพด้านข้างต้องไม่เบี้ยว หันศีรษะโฟกัสภาพต้องไม่เบี้ยว ภาพต้องไม่ไหว หรือไหวน้อยที่สุด
เดี๋ยวเรามาลองกันว่า เมื่อเราเปลี่ยนจากแว่นไอซอพติกตัวท็อปที่เป็นเทคโนโลยีโปรเกรสซีฟ แล้วเปลี่ยนมาใช้เป็นแว่นโปรเกรสซีฟ ราคาแพง เทคโนโลยีอื่น ของค่ายอื่นที่เป็นราคาหลักแสน เวลาใส่เข้าไปแล้วจะเป็นอย่างไร ?
เมื่อใส่เข้าไปจะต้องปรับตัวเยอะมาก อันนี้เป็นค่าสายตาผมเอง ที่ผมเอามาใส่ทดสอบ ภาพที่เห็นมันจะหลอกตา และเวลาขยับศรีษะ ภาพจะวูบ วูบ วูบ วูบ ถ้าเกิดผมจะมองทางขวา ผมหันมา ตอนนี้ภาพเบี้ยว ผมมองมาฝั่งนี้ หันศีรษะตามหาจุดชัดเจอ แล้วผมจะต้องรอประมาณ 1 - 2 วินาที ถึงจะโฟกัสภาพได้ เมื่อเปลี่ยนระยะขึ้นไปมองด้านบนที่ระยะ 70 เซนติเมตร ก็ต้องหาระยะ ดังนั้นนี่คือ เลนส์โปรเกรสซีฟที่ไม่ดี เพราะว่ามันไม่เป็นธรรมชาติ การโฟกัสภาพช้า ภาพไหวด้านข้างสูง เวลาขยับศีรษะ ไม่ว่าจะเป็นระยะไหนก็ตาม จะเจอกับภาพไหวด้านข้างตลอด ที่เราเรียกว่า ภาพบิดเบือนด้านข้าง ยิ่งถ้าเกิดมองออกด้านข้างแบบนี้ เราจะรู้เลยว่า ภาพด้านข้างทั้งบิด ทั้งเบี้ยว และไม่ชัด ส่วนอีกอัน อาการจะคล้าย ๆ กันคือ วูบวาบ ภาพจะไหว และตัวอักษรจะเบี้ยวเวลาขยับศีรษะ ซึ่งกว่าจะหาระยะชัดต้องค้างนิ่งอยู่ประมาณ 1 - 2 วินาที ผมจะลองทดสอบดูที่ระยะ 40 เซนติเมตร การโฟกัสภาพลำบาก ต้องหาโฟกัส ซึ่งหลายคนคงจะมีปัญหา คนที่ใส่โปรเกรสซีฟที่คุณภาพไม่ดี ตำแหน่งไม่ดี ก็จะต้องขยับหาระยะชัด คือไม่เป็นธรรมชาติ ถ้าเรามองไปที่ระยะ 2 เมตร ก็เหมือนกัน เวลาขยับศีรษะก็จะเห็นภาพมัว ภาพด้านข้างก็จะเหมือนกัน ภาพด้านข้างก็จะล้ม อันนี้ผมทำมาใส่ทดสอบ
เวลาที่เราใส่แว่นที่ไม่ใช่เฉพาะบุคคล มันจะรู้สึกตลอดเวลาว่า ถูกบังคับด้วยแว่น อย่างถ้าเป็นแว่นของไอซอพติกตัวนี้เป็นโปรเกรสซีฟ พอใส่เข้าไป ทุกอย่างมันจะชัด แล้วก็สบาย ผมอยากจะใช้คำว่า เป็นเสี้ยววินาที ซึ่งแว่นของไอซอพติกเท่านั้นที่ทำได้ ดีหรือไม่ทดสอบกันได้คือ หยิบขึ้นใส่ แล้วลืมตา ถ้ามันชัด สบาย นั่นคือดี แล้วก็เป็นแว่นที่เหมาะกับเรา แต่ถ้าเกิดทุกครั้งที่ใส่ต้องปรับ ต้องฝืน ต้องเรียนรู้วิธีใส่ใหม่ทุกครั้งที่ใส่ แบบนั้นมันไม่ใช่ มันเป็นแว่นที่สมองต้องออกแรงฝืนเพ่งเข้าหาแว่น จึงไม่ใช่แว่นที่ดี
แว่นที่ดีจะต้องชัดทุกระยะในเสี้ยววินาที ถึงจะสามารถให้คุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเราได้ ในการซื้อแว่น เราเลือกได้ 2 อย่างคือ
- ซื้อแว่นที่ช่วยให้เรามองเห็นได้ดีขึ้น แล้วที่เหลือก็ใช้สมองฝืนเพ่ง ซึ่งจะทำให้คุณภาพชีวิตเราต่ำ คือดีกว่าไม่ใส่ แต่ผมถามนิดนึงถ้าเรามีงบประมาณเพียงพอตั้งแต่ 15,000 บาท ที่จะซื้อแว่นที่ให้คุณภาพการมองเห็นที่ดีที่สุดกับเราได้ เพื่อเราจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดีกว่า ทำงานได้มากขึ้น แต่เหนื่อยน้อยลงจะดีกว่าไหม เราเอาเอาแว่นของไอซอพติกมาทำงานแทนสมองเราดีกว่าไหม สมองเราจะได้ไปทำเรื่องอื่น เช่น ทำงานได้เร็วขึ้น เหนื่อยน้อยลง สนุกสนานกับการใช้ชีวิตมากขึ้น ใส่แล้วรวย มีชีวิตที่ดีขึ้น นี่คือแว่นของไอซอพติกที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการนี้ ดังนั้นปรัชญาการทำแว่นของไอซอพติกจึงต่างจากร้านทั่วไป เราเป็นที่เดียวในโลกที่เราสร้างแว่นเฉพาะบุคคล เข้าหาคนแต่ละคน ปรับทุกอย่าง ทำงานกันอย่างหนัก เพื่อสร้างแว่นตาที่ดีที่สุด ที่ออกแบบเฉพาะบุคคลให้กับคนใส่แต่ละคน โดยผู้ใส่เป็นศูนย์กลาง เราไม่ได้ทำแว่นเหมือนกับร้านทั่วไปที่ขายแว่นอันละ 50,000 - 100,000 บาท แล้วให้ผู้ใช้ฝืนปรับชีวิตทั้งชีวิตเข้าหาแว่น แต่เราทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ดังนั้นถ้าเราอยากจะปรับตัวเข้าหาแว่น เราก็สามารถที่จะไปได้ทั่วโลก ในงบประมาณตั้งแต่คู่ละ 5,000 บาท ถึงคู่ละ 100,000 บาท แต่ถ้าเราอยากจะให้แว่นปรับหาเรา เราจะได้ไม่ปรับชีวิตเข้าหาแว่น จะได้เอาพลังไปทำอย่างอื่น ใส่แล้วฉลาดขึ้น ก็มาที่ไอซอพติก ซึ่งค่าใช้จ่ายก็อยู่ตั้งแต่ 15,000 - 500,000 บาท ซึ่งค่าใช้จ่ายก็ต่างกันประมาณ 3 เท่า ถึง 10 เท่า แล้วก็ต้องดูว่า เราจ่ายแล้วได้อะไร ซึ่งแว่นตาเป็นสิ่งที่เราจะต้องใส่ตั้งแต่เช้ายันค่ำ แว่นของไอซอพติก ทำให้เราหาเงินได้มากขึ้น แต่เหนื่อยน้อยลง